นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการสั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมโซนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้าอย่างใกล้ชิด
รวมถึงเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ได้รับรายงานจาก กนอ. ว่า มีการยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่งเพิ่มขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากที่กรมชลประทานได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเพื่อควบคุมปริมาณน้ำในเขื่อนเจ้าพระยา และเขื่อนพระราม 6 โดยทยอยปรับเพิ่มจาก 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้พื้นที่ริมแม่น้ำ ถึงเขื่อนพระราม 6 พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น 0.40-1.00 เมตร และมีปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ในเกณฑ์ 3,300-3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ.ยกระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 2 (เฝ้าระวัง) หลังมีการเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 รวมถึงมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่งเพิ่มขึ้น
โดยที่นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ร่วมด้วย มีระดับน้ำห่างจากหลังคันป้องกันน้ำท่วมนิคมฯ ประมาณ 2.86 เมตร
ส่วนที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำภายนอกแนวป้องกัน (แม่น้ำเจ้าพระยา) เมื่อเทียบกับความสูงของเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแล้ว ยังคงเหลือระยะห่างจากสันเขื่อนอยู่ 2.16 เมตร โดยระดับน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่อำเภอบางปะอิน อยู่ที่ 3,587 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งระดับน้ำภายในแนวป้องกัน (ประตูคลองจิก) เมื่อเทียบกับระดับถนนอุดมสรยุทธ์ภายในนิคมฯ ยังมีระยะห่างอยู่ที่ประมาณ 1.66 เมตร
ขณะที่นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำภายนอกแนวป้องกัน (แม่น้ำเจ้าพระยา) ระดับน้ำห่างจากหลังคันป้องกันน้ำท่วมนิคมฯ ประมาณ 1.70 เมตร โดยมีปริมาณอัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 3,218 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าทั้ง 3 นิคมฯ ยังมีศักยภาพในการรับมือและป้องกันสถานการณ์น้ำท่วมได้เป็นอย่างดี แต่การยกระดับการเตือนภัยนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง เตรียมความพร้อม และเป็นการไม่ประมาท เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยทั้ง 3 นิคมฯ มีการตรวจวัดระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องสูบระบายน้ำให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังมีการพร่องน้ำรักษาระดับไว้ที่ประมาณ 50% ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะเดียวกันได้ให้ทั้ง 3 นิคมฯ ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของคันป้องกันน้ำท่วมรอบนิคมฯ เป็นประจำด้วย รวมทั้งติดตามการพยากรณ์อากาศ ระดับน้ำ การระบายน้ำจากเขื่อนต่างๆ จากกรมชลประทานอย่างต่อเนื่อง
"มั่นใจว่ามาตรการที่ดำเนินการทั้งหมดจะสามารถรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบนิคมฯและผู้ประกอบการให้น้อยที่สุด"