นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี2556-2566 ว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะมีการขยายตัวที่3.6% ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวที่จะเป็นพระเอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยถึง22ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่11ล้านคน ส่วนภาคการส่งออกนั้นจะไม่ใช่พระเอกแต่จะเป็นตัวประกอบที่ไม่โดดเด่นเพราะเนื่องจากว่ากำลังซื้อของประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง
ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยโตแบบช้าๆและน่าจะกลับมาได้ในไตรมาส1-3ของปี66 นอกจากนี้การลงทุนของภาคเอกชนก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้าเช่นกัน เพราะมีการย้ายฐานกำลังการผลิตมาที่อาเซียนมากขึ้นและไทยเป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวที่3.3% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวที่หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยมากขึ้นและยังมีภาคการส่งออกที่ยังเป็นเครื่องจักรสำคัญของปีนี้ในการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยโตได้
อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆในปี2566 เช่น การส่งออกจะขยายตัวที่1.2% การนำเข้าขยายตัว 2.2% การลงทุนภาครัฐขยายตัว2.4% การลงทุนของภาคเอกชนขยายตัว 3.2% เงินเฟ้อทั่วไปของไทยขยายตัวที่ 3% ภายใต้สมมุติฐาน คือ ปริมาณการค้าโลกต้องขยายตัวที่2.5% เศรษฐกิจโลกขยายตัว2.7% มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามา22-24ล้านคน และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่35.95บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่92.50ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่1.25-2%
ส่วนปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า เช่น การแพร่ระบาดของโควิดมีความคลี่คลายมากขึ้นมีการประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายของภาคเอกชนฟื้นตัวอย่างชัดเจน รายได้ของเกษตรขยายตัวได้ดี รวมทั้งเสี่ยงของภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วงในปี66มีแนวโน้มลดลง และที่สำคัญคือการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ส่วนปัจจัยลบ เช่น ความไม่ชัดเจนของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลให้ราคาพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อพุ่ง ธนาคารกลางถูกกดดันให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนโลก และเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงสูงจะเกิดภาวะถดถอยเป็นต้น