แกรนท์ ธอนตัน เผยแพร่รายงานธุรกิจระหว่างประเทศ (IBR) ฉบับล่าสุด ชี้่ว่า ภาพรวมธุรกิจขนาดกลางของไทยมีมุมมองที่เป็นบวกมากที่สุดนับแต่ปี 2560 โดยครึ่งหลังปี 22565 สถานะทางธุรกิจของไทยดีขึ้น 33.8 % จากครึ่งแรกของปี โดยดัชนีแตะที่ 8.8 สูงสุดในรอบ 5 ปี และแซงหน้าค่าเฉลี่ยทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2560 ที่ผู้นำธุรกิจในอาเซียนมีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้น ในขณะที่ผู้นำธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกยังคงเป็นขาลง
นายเอียน แพสโค ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วนของแกรนท์ ธอนตัน ผู้นำบริการด้านที่ปรึกษาทางธุรกิจในไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจ ว่า ผู้นำทางธุรกิจของไทยเตรียมพร้อมและรับมือได้ดีขึ้น หลังจากผ่าน 3 ปีแห่งความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่ประเทศไทยต้องเผชิญจากโรคระบาด การสำรวจทางธุรกิจของเราระบุว่า ธุรกิจไทยมีมุมมองที่เป็นบวกสำหรับปี 2566 เกี่ยวกับผลกระทบของปัจจัยภายนอกที่มีต่อธุรกิจของพวกเขา
ทั้งนี้ สถานภาพทางธุรกิจถูกกำหนดจากแนวโน้มเชิงเศรษฐกิจ บวกกับความตระหนักถึงข้อจำกัดต่าง ๆ โดยมีดัชนีชี้วัดแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่สำคัญ 3 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ มุมมองเป็นบวกทางเศรษฐกิจ เงื่อนไขทางธุรกิจ และความตั้งใจในการลงทุน ลดลง 2.1 เปอร์เซ็นต์ 0.5 เปอร์เซ็นต์และ 3.4 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ดัชนีสภาพการของธุรกิจไทยได้รับแรงหนุนอย่างมาก จากการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ ความกังวลของธุรกิจเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ลดลง 9.6 เปอร์เซ็นต์ จากครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับอุปทานลดลง 7.4 เปอร์เซ็นต์
แม้จะมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงานที่สูง และปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม เช่น การลาออกครั้งใหญ่ ธุรกิจในประเทศไทยยังคงมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น เมื่อเทียบกับ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าธุรกิจต่าง ๆ ได้ปรับตัวและสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ พ.ศ. 2566 โดยมีเพียง 49 % ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วภูมิภาคของไทย ที่ระบุว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเป็นข้อจำกัดหลัก ซึ่งเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์จากช่วงครึ่งหลังของปี 2565
ธุรกิจยังคงระมัดระวังเมื่อกล่าวถึงรายจ่ายทางการคลังและการลงทุน มีเพียง 36 % ของบริษัทขนาดกลางในประเทศไทย ที่ระบุว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานในปี 2566 ซึ่งความไม่พอเพียงของจำนวนบุคลากรที่มีความพร้อมในด้านทักษะไม่ใช่ข้อจำกัด อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาปัจจุบัน มีเพียง 26 % ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย ที่กล่าวว่าการขาดแคลนบุคลากรเป็นปัญหาสำคัญ เมื่อเทียบกับ 37 % ของผู้ตอบแบบสอบถามในอาเซียน และ 57 % ทั่วโลก
แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่น่ายินดี บริษัทต่างๆ ทั่วประเทศไทยกำลังวางแผนการลงทุนเพียงเล็กน้อยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (มีเพียง 49 % ซึ่งลดลง 12 % จากครึ่งปีแรกของปี 2565) โรงงานและเครื่องจักร (39 % ลดลง 5 % จากครึ่งปีแรกของปี 2565) และบุคลากร (36% ตามที่กล่าวไว้ ข้างต้น ลดลง 12 % จากจากครึ่งปีแรกของปี 2565)
นายธันวา มหิทธิวาณิชชา หุ้นส่วนของแกรนท์ ธอนตัน ในประเทศไทย กล่าวว่า ผลสำรวจเหล่านี้บ่งชี้ว่า ผู้นำธุรกิจในประเทศไทยกำลังวางแผนลงทุนด้วยความระมัดระวัง อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ความท้าทายของอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่
"อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ลดลง 12 % ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และเกือบ 20 % เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี 2565 บ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นของประเทศ และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหลังโควิด ในขณะที่ประเทศไทยยังคงต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานภาพทางธุรกิจก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป”
ทั้งนี้ รายงานผลสำรวจธุรกิจนานาชาติของแกรนท์ ธอนตัน (Grant Thornton’s International Business Report - IBR) คือรายงานการสำรวจชั้นแนวหน้าของโลก ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะทางธุรกิจของบริษัทขนาดกลางทั่วโลก ผลการสำรวจในรายงานครึ่งปีหลังของปี 2565 สะท้อนมุมมองของบริษัทขนาดกลางเกือบ 5,000 บริษัทในกว่า 30 ประเทศที่ให้สัมภาษณ์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2565 สำหรับประเทศไทย มี 102 บริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจ ซึ่งมีจำนวนพนักงานอยู่ที่ 50 – 500 คน