วันนี้ (25 ก.พ.66) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นต่อเรื่องการปรับลดราคาน้ำมัน โดยระบุว่า ตนรู้สึกยินดีที่ได้ฟังความเห็นจากหลายๆ ท่าน ที่ออกมาพูดเรื่องราคาน้ำมันในวันนี้ ถึงแม้พรรคพลังประชารัฐ จะยังไม่ได้มีมติในเรื่องนโยบายพลังงานอย่างเป็นทางการออกมา แต่เป็นสิ่งที่ดีที่ทุกคนพูดเรื่องนี้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อประชาชนไม่ว่าความเห็นจากทั้งท่านนายกฯ คุณมิ่งขวัญ คุณรสนา คุณพิชัย ฯลฯ
และในฐานะที่ตนเป็นอดีตรัฐมนตรีพลังงาน มีความคิดเห็นส่วนตัวต่อเรื่องโครงสร้างราคาพลังงานดังนี้
โดยภาพรวม ตนเห็นด้วยกับการลดราคาพลังงาน เพราะเกิดประโยชน์โดยตรงต่อพี่น้องประชาชน แต่ตนมีข้อเห็นต่าง 4-5 ข้อ ในการจัดการเรื่องนี้
1. ตนไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาที่เป็นการแก้เฉพาะกิจ ในระยะเวลาแค่เพียง1 ปี โดยไม่ได้เข้าไปแก้ที่หัวใจของปัญหา นั่นคือ ปัญหาโครงสร้างราคาเดิม ที่ยังไม่ได้ถูกปรับแก้ ให้เกิดความเป็นธรรมและสอดรับกับสถานการณ์พลังงานอันจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
2. การแก้ด้วยการ “ยกเลิกกองทุนน้ำมัน” อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็ล้มเหลวมาแล้ว และ ถ้ายกเลิกกองทุนน้ำมันทันที ผลกระทบที่มีต่อประชาชนในส่วนของราคาก๊าซหุงต้มก็จะสูงขึ้นทันที ราคาเพิ่มขึ้นถังละเกินกว่า 135 บาท/15 กก. ซึ่งประชาชนย่อมเดือดร้อนอย่างแน่นอน หากไม่มีมาตรการอื่นใดมารองรับ
นอกจากนั้น เรายังมีภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมันที่เกิดขึ้นมาแล้วนับแสนล้านบาทรวมทั้งดอกเบี้ยใครเป็นคนจ่ายและจะบริหารอย่างไร
รวมถึงแก๊สโซฮอล์จะต้องราคาเพิ่มขึ้นเช่นกันจนอาจไม่มีใครเติม และจะต้องมีการบริหารจัดการอย่างไรกับเกษตรกรผู้ปลูกพืชพลังงาน เพื่อผลิตเอธานอล ฯลฯ ดังนั้น ปัญหาดังกล่าวนี้จึงจำเป็นต้องคิดรอบด้านและรอบคอบอย่างเป็นระบบ
เพราะถ้าไม่แก้อย่างเป็นระบบ “การยกเลิกกองทุนน้ำมัน” ก็จะทำได้เป็นการชั่วคราว (ไม่ว่าจะ 3 เดือน หรือ 1 ปี) และในที่สุดก็จะต้องกลับมาเก็บกองทุนน้ำมันในที่สุด เหมือนกับที่เคยขึ้นมาในรัฐบาลในอดีต และประชาชนก็ต้องกลับมาเดือดร้อนอยู่ดี
3. การแก้ด้วยการ “ยกเลิการเก็บภาษีสรรพสามิต” ก็จะกระทบต่อรายได้จากการจัดเก็บของรัฐบาล และฐานะการคลัง ดังนั้น จะต้องอธิบายอย่างเป็นระบบได้ด้วยว่าจะชดเชยรายได้จำนวนเท่าไหร่ที่ขาดหายไป จากงบประมาณประจำปีที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จะแก้ไขด้วยวิธีใด ถึงแม้จะแก้ปัญหาได้เพียง 1 ปี ก็แปลว่า ประชาชนก็ต้องถูกกลับมาเก็บเก็บภาษีสรรพสามิตในท้ายที่สุดอยู่ดี
4. การที่ท่าน นายกฯประยุทธ์ ออกมาสั่งการให้มีการลดราคาน้ำมัน ผมเห็นว่า เป็นการออกมาแก้ปัญหาที่ดีถ้าทำได้ แต่ต้องพึงระวังที่จะแก้โดยให้รัฐรับภาระแต่เพียงฝ่ายเดียว ( เช่น ลดภาษี หรือ ลดการเก็บเงินเข้ากองทุน) โดยไม่ได้ปรับแก้ “โครงสร้างราคาที่เหมาะสม”
และ “โครงสร้างราคาที่เหมาะสม” จะต้องคำนึงถึงการลดราคาน้ำมัน ไม่ได้มีผลกระทบแค่ราคาน้ำมันแต่มันเกี่ยวข้องกับ “เจตจำนงทางการเมือง” โดยเฉพาะผู้นำทางการเมืองคือนายกรัฐมนตรีจะต้องเห็นชอบด้วย เพราะมีความเกี่ยวพันกับหลายกระทรวง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ
5. สำหรับโครงสร้างเฉพาะราคาน้ำมันที่เหมาะสมนั้น ตนเสนอแยกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกในส่วนของภาครัฐในการลดภาษี หรือ การลดการเก็บเข้ากองทุนควรหาจุดสมดุลที่หากจะลดแล้ว ต้องไม่กระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ และต้องชำระหนี้สินของกองทุนน้ำมันได้
ส่วนที่สองในส่วนของภาคเอกชน ควรมีการลดกำไรที่เกินสมควรที่ได้จากโครงสร้างราคาที่บิดเบือนและไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาน้ำมันและกองทุนน้ำมัน กระทบไปถึงแก๊สหุงต้มดังที่กล่าวแล้ว ยังซ่อนปัญหาของราคาค่าไฟฟ้าที่แพง และผลักภาระให้ประชาชนอีกด้วย ซึ่งตนจะกล่าวต่อไปในโอกาสหน้า เพราะยังมีรายละเอียดอีกหลายประเด็นในเรื่องนี้ที่ต้องพูดกัน
ทั้งนี้ ตนอยากชวนทุกท่านร่วมฟังเวทีเสวนา อนาคตพลังงานไทย ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บ่ายโมงครึ่งเป็นต้นไป จะเป็นเวทีที่พรรคการเมืองจะพูดถึงนโยบายพลังงาน ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก
“สุดท้ายผมขอย้ำว่า พลังงานเป็นเรื่องของประชาชน รัฐและเอกชนต้องคิดถึงประชาชน เราควรถือโอกาสที่ทุกคนให้ความสนใจต่อราคาน้ำมัน เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไชปัญหาโครงสร้างพลังงานเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมและยั่งยืน” นายสนธิรัตน์ ระบุ