นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรณีการนำเสนอนโยบายโอนเงินผ่านดิจิทัล วอลเลต Digital Wallet จำนวน 5,000-10,000 บาทให้ประชาชนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป เป็นระยะเวลา 6 เดือน ประมาณ 50 ล้านคนนั้นถือเป็นนโยบายแจกเงินให้กับประชาชนโดยตรง
แต่ได้ปิดจุดอ่อนของมาตรการแจกเงินที่เคยทำกันมาและบัตรสวัสดิการคนจน โดยการโอนเงินหรือแจกเงิน เป็น มาตรการ Income Transfer ให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อย หรือใช้บรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ Digital Wallet ได้ออกแบบให้ใช้ Token หรือ Digital Coin ในชุมชนรัศมี 4 กิโลเมตร
ทำให้แก้ปัญหารับเงินโอนจากรัฐแล้วเอาไปซื้อสินค้าในเครือข่ายห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เม็ดเงินไม่กระจายมายังธุรกิจขนาดย่อมขนาดเล็ก การกำหนดรัศมีในการใช้ Token ทำให้ผลประโยชน์จากการใช้พุ่งตรงไปที่เครือข่ายร้านค้าชุมชน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการจ้างงานสาธารณะได้ดีกว่า
นอกจากนี้ยังสามารถใช้แอพลิเคชันในการหางานทำในชุมชน สามารถใช้แอพลิเคชันในการค้นหาหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆเพื่อ Upskill Reskill และ สร้างทักษะความสามารถใหม่ New skill ได้
"ระบบดิจิทัลผ่านแอพลิเคชันทำให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย กำกับประสิทธิภาพและประเมินผลนโยบายได้ดียิ่งขึ้น"
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า Digital Wallet อยู่บนฐานคิดการกำหนดนโยบายจากฐานเรื่องสิทธิของประชาชนอันเป็นส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตย มากกว่า ฐานคิดแบบสังคมสงเคราะห์ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมอุปถัมภ์
อย่างไรก็ดี ข้อควรระวังของนโยบายลักษณะโอนเงินหรือแจกเงินไม่จะใช้ฐานคิดหรือวิธีการแบบไหน คือ หากเศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้า ไม่สามารถจัดเก็บภาษีมาสนับสนุนได้มากพอและต้องก่อหนี้อาจเกิดความเสี่ยงทางการคลังได้ เนื่องจากนโยบายดิจิทัล วอตเลทเป็นมาตรการที่ใช้เม็ดเงินงบประมาณสูงถึง 2.5-5 แสนล้านบาท
มาตรการนี้ประสบความสำเร็จโดยมีเงื่อนไขว่า อัตราความโน้มเอียงในการบริโภคของครอบครัวที่มีรายได้น้อยอยู่ที่ประมาณ 0.7 และ ตัวทวีคูณทางการคลังอยู่ที่ 6 เท่า ก็จะทำให้มูลค่าจีดีพีเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านล้านบาท (กรณีโอนเงิน 5,000 บาท) และ เพิ่มขึ้น 3 ล้านล้านบาท (กรณีโอนเงิน 10,000 บาท) ทำให้การตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพที่ระดับ 5-6% มีความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องพยายามเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เพิ่มให้ได้อย่างน้อย 2 แสนล้านบาทและภาษีอื่นๆอีกอย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาท ทำให้การที่กู้เงินจำนวนมากๆมาสนับสนุนโครงการลดลง การกำหนดระยะเวลาในการใช้ไว้ที่ 6 เดือน หรือ Digital coin จะหมดอายุใน 6 เดือน
คาดหวังว่าจะไม่เกิดตลาดรอง และไม่ควรสร้างปัญหาซับซ้อนต่อการทำหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยในการควบคุมปริมาณเงิน การดูแลปริมาณเงินเป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติผ่านนโยบายการเงิน หากมีการโอนเงินซ้ำซ้อนต้องนำเทคโนโลยี Blockchain มาช่วยจัดการ Digital Wallet ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับบัตรสวัสดิการคนจนที่ให้ก่อนหน้านี้