"ค่าไฟแพง" ผ่านจุดสูงสุด สนพ.ชี้แนวโน้มราคาถูกลงงวดก.ย.-ธ.ค. 66
หลังปริมาณก๊าซอ่าวไทยเพิ่มเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ในเดือน ส.ค. และเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ช่วงปลายปีนี้
สำหรับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นนั้นเป็นเรื่องของต้นทุนเชื้อเพลิง เนื่องจาก 50-60% ของการคิดค่าไฟมาจากเชื้อเพลิง
นอกจากนั้นจะเป็นส่วนของ ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ,ต้นทุนระบบส่งไฟฟ้า และต้นทุนขายปลีกและจำหน่าย เป็นต้น
จึงไม่เกี่ยวกับการสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin : RM) ของประเทศ โดยเมื่อมาดูข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จะเห็นได้ว่าประเทศไทยก็ยังมีสำรองไฟฟ้าไม่สูงมากนัก แบ่งตัวอย่างสัดส่วน RM ปี 2559 อาทิ สเปน มี RM ที่ 180%
สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 51.1%, อิตาลี RM 136% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 44.8%, โปรตุเกส RM 130% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 64.1%, เดนมาร์ก RM 130% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 52.1% เยอรมัน RM 111% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50.2%, จีน RM 91% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 33.1%, มาเลเซีย RM 51% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 25.7% ส่วนไทย RM 39% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 21.8% เป็นต้น
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า จากการประเมินค่าไฟเชื่อว่าได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 66 ไปแล้ว โดยมองว่าหลังจากนี้ค่าไฟจะทยอยลดลง หลังปริมาณก๊าซอ่าวไทยเพิ่มเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือน ส.ค.
นายวัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า ในอนาคตหากมีพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น
จะต้องมีการสำรองไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย และราคาก็อาจจะแพงขึ้น เนื่องจากต้องมีการไปพัฒนาระบบการกักเก็บพลังงาน
เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่จะขายไฟฟ้ากลับมาเข้าระบบ ซึ่งจะต้องมีบริหารระบบไว้อย่างดี
ในขณะที่ไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล อาจจะไม่เพิ่มขึ้นแต่ยังคงรักษาไว้เพื่อความมีเสถียรภาพ และโรงไฟฟ้าฟอสซิลจะปลดระวางตามกาลเวลา ส่วนโรงไฟฟ้าใหม่จะสร้างได้ยากขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านพื้นที่
"กฟผ. เองก็มองว่าการสร้างสายส่งเพื่อไปรองรับพลังงานทดแทนอาจจะไม่คุ้มเท่ากับการสร้างแบตเตอรี่กักเก็บ"