การเมืองเกมอำนาจและผลประโยชน์ หลังเลือกตั้งผ่านมากว่า 2 เดือนครึ่ง สถานการณ์ยังพลิกผัน ประเทศไทยยังไม่ได้นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งของผู้เห็นต่าง ขณะที่ทุกนาทีของความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาล คือการเสียโอกาสในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ภาคเอกชนและนักวิชาการออกมาเร่งเร้าวาระเร่งด่วนของประเทศที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินการภายใน 100 วันแรก
โดยจากการสอบถามพบมีอย่างน้อย 10 วาระเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งเข้ามาขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหา ได้แก่ การเบิกจ่ายและจัดทำงบประมาณปี 2567 ที่ยังล่าช้า, การกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน, การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี, การลดภาระประชาชนและภาคเอกชนจากดอกเบี้ยขาขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี (ล่าสุดอยู่ที่ 2.25% ต่อปี), การช่วยเหลือสภาพคล่องเอสเอ็มอี, การผลักดันการส่งออกที่ยังติดลบ 9 เดือนต่อเนื่อง
ต่อมาคือการฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติต่อเสถียรภาพรัฐบาล, การบริหารจัดการเพื่อรับมือภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มมีความชัดเจนเพื่อลดผลกระทบภาคการเกษตร และพื้นที่เศรษฐกิจ เช่น อีอีซี,การกระตุ้น การท่องเที่ยวในเมืองรองที่ยังไม่คึกคัก และการกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ต้องขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาในลำดับต้น ๆ ได้แก่ การแก้ปัญหาปากท้องและช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้า และราคาพลังงาน เช่นค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับสูง การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา การช่วยเหลือสภาพคล่อง SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจในประเทศ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
อีกเรื่องสำคัญคือ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับปรุงนิยามและข้อมูลหนี้ครัวเรือนให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยรวมถึงหนี้เพื่อการศึกษา (กยศ.) การเคหะแห่งชาติ ธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ และหนี้สหกรณ์ที่ไม่ใช่สหกรณ์ออมทรัพย์ ส่งผลให้คนไทยมีหนี้ครัวเรือน ณ ปัจจุบัน สูงถึง 90.6% ต่อจีดีพี ที่น่าห่วงมากกว่านั้นข้อมูลจากผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยล่าสุด ระบุครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินโดยเฉลี่ย 5.59 แสนบาท สูงสุดในรอบ 15 ปี และมีจำนวนถึง 54% ที่มีหนี้สูงกว่ารายได้ และพบว่าเป็นหนี้นอกระบบที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง สูงถึง 19.8 % ของหนี้ทั้งหมด เมื่อรวมหนี้ครัวเรือนกับภาระหนี้สินแล้วจะพุ่งขึ้นไปถึง 120% ต่อจีดีพี เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ ไม่เช่นนั้นจะกดทับกำลังซื้อ และคนเป็นหนี้สินจะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ในระยะยาว
“ยังมีอีกหลายเรื่องเร่งด่วนที่ทาง ส.อ.ท. และกกร.ได้ทำเป็นสมุดปกขาวนำเสนอพรรคการเมืองไปก่อนหน้านี้ เช่น การช่วยเหลือเอสเอ็มอี การขับเคลื่อน Net Zero เรื่องของ Climate Change เรื่องคาร์บอนเครดิต การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การกิโยตินหรือยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย การสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศด้วยอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น S-Curve เพื่อทำให้เรา “ทำน้อย ได้มาก” และแข่งขันได้ เรื่องการป้องกันและหาทางรับมือเอลนีโญที่จะทำให้เกิดภัยแล้งยาวนาน โดยต้องหาแหล่งน้ำสำรอง และการกักเก็บน้ำ เหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วต้องทำทันที ซึ่งภาคเอกชนคงมีโอกาสได้หารือกับรัฐบาลใหม่ในเร็ววัน”
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในลำดับต้นๆ ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา ได้แก่ ปัญหาปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากเวลานี้กำลังซื้อของประชาชนลดลง การออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีชุดใหม่ในเรื่องแหล่งเงินทุน ซึ่งหากล่าช้ามากเอสเอ็มอีบางรายอาจต้องหยุดกิจการ หรือปรับลดการจ้างงาน และจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตามมา
ขณะเดียวกันต้องเตรียมแผนรับมือปัญหาภัยแล้งอย่างเร่งด่วนและจริงจัง จากปีนี้สัญญาณจากเอลนีโญมีความชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ยังค้างท่อและการจัดทำงบประมาณประเทศล่าช้า แม้จะสามารถใช้งบประมาณในตัวเลขเดิมได้ แต่ต้องการฝ่ายบริหารเข้ามาตัดสินใจและวางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนรัฐบาลใหม่ช่วง 100 วันแรก เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภค การลงทุน ผลักดันส่งออกปีนี้ไม่ให้ติดลบ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเกษตรกรไทย ลดค่าครองชีพสูงของประชาชน จากราคาสินค้าขึ้นแล้วไม่ลด ขณะทิศทางเงินเฟ้อโลกลดลงแล้ว
การลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ทั้งค่านํ้ามัน ค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบด้านอาหารสัตว์ที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน จัดหานํ้าเพื่อการเกษตรจากปัญหาภัยแล้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ในระยะถัดไปคือ การรับมือกับมาตรฐานทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ที่กำลังมาอีก 1-2 ปีข้างหน้า การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG และการทบทวนสิทธิพิเศษและแรงจูงใจในการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไทยยังเสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย
นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามากระตุ้นการท่องเที่ยว ไม่อยากให้เน้นไปที่จำนวนนักท่องเที่ยว แต่อยากให้โฟกัสคุณภาพของนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นสำคัญ โดยนโยบายที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน มองว่าเป็นเรื่องของ Accessibility หรือความสามารถในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยว
โดยไทยควรจะมีการอำนวยความสะดวกในการเข้าเมือง แก้ปัญหาการติดขัดในเรื่องของ VISA ON ARRIVAL (วีซ่าหน้าด่าน) รวมถึงความสะดวกในการขอวีซ่าเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจีน การส่งเสริมหรือกระตุ้นเพื่อดึงเที่ยวบินกลับมาให้บริการเพิ่มมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาราคาตั๋วเครื่องบินที่มีราคาสูงมาก และแก้ปัญหาเรื่องของที่นั่งบนเครื่องบินมีไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเดินทาง
ส่วนระยะถัดไป ควรวางแผนกระจายแหล่งท่องเที่ยว ไม่อยากให้กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ที่จะรองรับนักท่องเที่ยวที่ล้นเกินไป ควรมองไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพด้านวัฒนธรรม กีฬาต่าง ๆ เพื่อขยายโลเคชั่นในการเดินทางท่องเที่ยว กระจายการท่องเที่ยวสู่เมืองรอง รวมถึงนโยบายในการเข้าถึงแหล่งเงินของผู้ประกอบการ การแข่งขันที่เป็นธรรม ตอนนี้ที่ยังพูดกันไม่จบคือการทำธุรกิจของ Airbnb การนำคอนโดมิเนียม หรือ บ้าน มาขายห้องพักในลักษณะของโรงแรม ถ้ารัฐบาลอยากให้เป็นแบบนี้ ก็ต้องมีความชัดเจนว่าจะควบคุมอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานในการให้บริการ
สำหรับความคาดหวังรัฐบาลใหม่ ในฐานะคนทำธุรกิจก็อยากเห็นนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ต่อเนื่องและชัดเจน รวมทั้งอยากจะให้รัฐบาลมาช่วยดูแลเรื่องต้นทุนต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะค่าไฟ ซึ่งมีต้นทุนต่อยูนิต สูงถึง 20-30% ทั้งยังมีเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยากให้รัฐบาลช่วยดูแลว่าจะมีมาตรการใดในการช่วยเหลือผู้ประกอบการได้หรือไม่ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้ามาเท่ากับก่อนเกิดโควิด-19
นายอภิชาต จูตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) กล่าวว่า สิ่งแรกที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการเร่งด่วน คือเรื่องของปากท้อง โดยต้องช่วยสนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพเพื่อให้ประชาชนมีรายได้และมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย และจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นกลายเป็นต้นทุน หากรัฐบาลมีมาตรการควบคุมได้จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเชื่อว่าคนรุ่นใหม่มีความต้องการซื้อบ้าน
ขณะที่ นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินนโยบายในการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การปรับเรื่องของการจัดเก็บภาษีที่ดิน ในอัตราของคนต่างชาติ การกำหนดให้ต่างชาติซื้อบ้านอยู่อาศัยได้โดยเฉพาะบ้านจัดสรรและอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายจัดสรรที่ดิน นอกจากนี้ดำเนินการเรื่องของการเข้ามาอยู่อาศัยของคนต่างชาติ เช่นถือวีซ่าระยะยาว
“มั่นใจว่าในไตรมาส 4 เมื่อมีรัฐบาลแล้วและมีการขับเคลื่อนนโยบาย เชื่อว่าตลาดอสังหาฯจะฟื้นตัวและจะมีการลงทุนโครงการมากขึ้นจากผู้ประกอบการ จากที่ผ่านมายังเป็นช่วงสุญญากาศไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม และโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก”
นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งผลักดันออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะแรกคือ เงินดิจิทัล เพราะขณะนี้กำลังซื้อของประชาชนระดับรากหญ้ามีปัญหา ขณะที่ภาคธุรกิจมีความกังวลเรื่องแผนแม่บทตลาดทุน โดยเฉพาะเรื่องการจัดภาษีขายหุ้นที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อส่งเสริมการออม โดยในมุมของนักลงทุนนั้นให้ความสำคัญกับดัชนีตลาดหุ้น และเงินในกระเป๋า
นายสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด (Cryptomind Advisory) กล่าวว่า ปัญหาที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้โดยเร่งด่วนในระยะสั้นคือ ปัญหาปากท้องประชาชน เพราะหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังซื้อลดลง โดยการแจกเงินดิจิทัลเป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งที่เข้ามากระตุ้น แต่ต้องมีนโยบาย หรือมาตรการอื่น ๆ เข้ามาช่วยกระตุ้นด้วย
ขณะที่ระยะกลางนั้นมองว่าต้องหา New S-Curve ใหม่ ๆ โดยขณะนี้ญี่ปุ่น มอง Web3 เป็นระบบทุนนิยมใหม่ ขณะที่ฮ่องกง มีนโยบายส่งเสริมดิจิทัลแอคเซสชัดเจน ส่วนประเทศไทยมีกระแสตอบรับสินทรัพย์ดิจิทัลสูง ขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่างสถาบันการเงินก็เดินหน้าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล ถ้ารัฐบาลมีนโยบายดี ๆ ออกมาส่งเสริมก็จะเป็นสปริงบอร์ดให้กับผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลในการเข้าไปช่วงชิงตลาดในภูมิภาคหรือตลาดโลก
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า จากการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความล่าช้า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ จากเดิมคาดการณ์ขยายตัวจีดีพีไทยปีนี้จะอยู่ที่ 3.6% จะโตได้ไม่ถึง 3.0% วันนี้ไม่ว่า สส.หรือ สว. สิ่งหนึ่งคือต้องพยายามหาทางออกร่วมกันให้ดีที่สุด เพื่อให้ประเทศเราขับเคลื่อนต่อไปได้ ภายใต้กลไกของรัฐธรรมนูญของระบบรัฐสภาแล้วไม่สร้างปัญหาความขัดแย้งที่จะลงสู่ถนน ซึ่งสถานการณ์วันนี้บ่งชี้แล้วว่ามีโอกาสสูงที่จะยืดเยื้อ ขัดแย้ง ซึ่งความขัดแย้งนี้ หากเกิดอย่างสงบและสันติ ก็จะไม่สร้างปัญหา แต่ถ้าบานปลายย่อมส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้ประกอบการและภาพลักษณ์ประเทศ ความเชื่อมั่นจากนานาประเทศจะลดน้อยลง
“ประเทศไทยผ่านวิกฤตมามากแล้วทั้งโควิด สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเศรษฐกิจ อย่าให้วิกฤตการเมืองในประเทศซ้ำเติม เพราะวันนี้กระแสการเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนทุกวัน สิ่งสำคัญคือ พอเปลี่ยนแปลงประเทศไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ได้เกิดการเพิ่มทักษะ ความสามารถด้านต่าง ๆ แต่กลับมีจำนวนหนี้เสียที่เพิ่มมากขึ้น จากการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ ซึ่งจากเดิมที่เป็นหนี้ดีก็กลายเป็นหนี้เสีย”
ด้านนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานที่ปรึกษาโรงพยาบาล ธนบุรี บำรุงเมือง กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่คนไทยต้องเผชิญคือการเมืองที่ไม่เสถียร ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ หนี้ครัวเรือน การที่ไทยจะมุ่งหวังให้รัฐบาลใหม่มาสานต่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น อาจจะไม่เหมือนกับในปี 2544 ซึ่งเศรษฐกิจพังเฉพาะคนมีเงิน และเกิดขึ้นในไม่กี่ประเทศ แต่ในปี 2566 สถานการณ์เปลี่ยนไม่เหมือนเดิม เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่ อุตสาหกรรมไม่ฟื้น แถมยังมีหนี้จากเงินกู้ ตอนนี้บุญเก่าเราหมดแล้ว มีดีแค่เรื่อง การท่องเที่ยว แต่ก็ต้องอัพเดต และเปิดกว้างโดยเฉพาะเรื่องเมดิคอล ทัวริสซึม เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา ส่วนภาคอุตสหากรรมก็ต้องเร่งลงทุนเช่นเดียวกับไต้หวันและญี่ปุ่น ที่มุ่งส่งเสริมเอสเอ็มอีให้เดินหน้าได้
“วันนี้ประเทศไทยเป็น Failed State จากปัญหาความยากจน ปากท้อง สังคม โครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เปลี่ยน เป็น old economy มีคอร์รัปชัน ผูกขาด ส่งออกเราติดลบมา 9 เดือนต่อเนื่อง อสังหาติดลบต้นปี 25% จากขายไม่ออก ปัญหาคอนโดฯย่านอโศกล่าสุด ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น”
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3911 วันที่ 6 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566