สศช.เปิดข้อมูลวัยเริ่มทำงานกู้แหลก "ของมันต้องมี" เสี่ยงเจอหนี้ท่วมหัว

28 ส.ค. 2566 | 06:59 น.
อัพเดตล่าสุด :28 ส.ค. 2566 | 07:06 น.

สศช. เปิดข้อมูลหนี้สินครัวเรือน พบข้อมูลหนี้กลุ่มวัยแรงงานตอนต้น อายุต่ำกว่า 30 ปี ต้องเฝ้าระวังส่วนใหญ่มีทัศนคติ “ของมันต้องมี” เงินไม่พอ ชอบกู้เงินธนาคาร-บัตรเครดิตใช้จ่าย เสี่ยงหนักติดกับดักหนี้

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2566 ว่า จากข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau : NCB) พบปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงานตอนต้น อายุต่ำกว่า 30 ปี ชี้ว่ามีพฤติกรรมการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคมากขึ้น 

เช่นเดียวกับข้อมูลการศึกษาพฤติกรรมการเงินของศูนย์วิเคราะห์ทีเอ็มบี ปี 2562 พบว่า คนเจนวาย อายุระหว่าง 23 - 38 ปี ส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับทัศนคติว่า “ของมันต้องมี” ซึ่ง 50% ของคนเจนวายที่มีเงินไม่เพียงพอ จึงเลือกที่จะกู้ยืมจากธนาคารหรือใช้บัตรเครดิตในการจ่าย โดย 70% มีการผ่อนชำระสินค้า/บริการแบบเสียดอกเบี้ย 

สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการก่อหนี้ที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะการผ่อนชำระสินค้าแบบเสียดอกเบี้ยในหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ผู้กู้ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ทำให้มีแนวโน้มจะมีการสะสมของหนี้สินมากขึ้น และติดกับดักหนี้ 

 

สศช. แถลงข่าวรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2566

หนี้เสียผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นสูง

ขณะที่ กลุ่มผู้สูงอายุ พบว่า การขยายตัวของหนี้เสียระหว่างปี 2563 - 2565 เพิ่มมากขึ้นกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉลี่ยที่ 10.2% ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียในสินเชื่อส่วนบุคคลและรถยนต์ โดยส่วนหนึ่งเกิดจากผู้สูงอายุมีทักษะทางการเงินต่ำ ซึ่งการสำรวจทักษะทางการเงินของไทย ปี 2563 ของ ธปท. ที่พบว่า กลุ่ม Baby boomer (อายุ 55 ปีขึ้นไป) เป็นกลุ่มที่มีระดับทักษะทางการเงินน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับคนวัยอื่น โดยกว่า 55.3% มีความรู้ทางการเงินต่ำ

นอกจากนี้ ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังพบว่า ในปี 2565 คนไทยมีทัศนคติทางการเงินที่ถูกต้องลดลงจากปี 2563 ซึ่งการที่ผู้สูงอายุมีหนี้เสียมากขึ้นโอกาสแก้หนี้ จะทำได้ยากกว่ากลุ่มอายุอื่น เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่หารายได้ได้ลดลง 

ทั้งนี้ ความแตกต่างของประเภทการเป็นหนี้และช่วงวัยที่เป็นหนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ที่แตกต่างกัน สำหรับกลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปี อาจสามารถเน้นการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระออกไปได้ ขณะที่กลุ่มสูงอายุจำเป็นต้องใช้มาตรการอื่น

 

สศช. แถลงข่าวรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2566

หนี้จำนวนมากยังไม่อยู่ในระบบข้อมูล NCB

ทั้งนี้ สศช. ยังภาพสะท้อนปัญหาหนี้สินครัวเรือนจากข้อมูล NCB พบประเด็นที่อาจส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน และกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ปัจจุบันยังมีหนี้จำนวนมากที่ไม่เข้าสู่ระบบข้อมูล NCB ทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถตรวจสอบสถานะหนี้สินและรายได้สุทธิหลังหักภาระหนี้ของลูกหนี้ได้ แม้ว่าหนี้ครัวเรือนจากฐานข้อมูล NCB จะคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 81% ของหนี้ครัวเรือนที่นำเสนอโดย ธปท. และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากในอดีต 

โดยปัจจุบันสมาชิกที่จัดส่งข้อมูลเครดิตให้แก่ NBC มีจำนวน 90 ราย ทั้ง ธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ทุกแห่ง บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ นิติบุคคลที่ให้บริการบัตรเครดิต และสถาบันการเงินอื่น ๆ

แต่ยังไม่รวมหนี้สหกรณ์ ซึ่งมีมูลค่าเงินให้กู้ยืมแก่สมาชิกกว่า 1.1 ล้านล้านบาท และหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่มีมูลค่าเกือบ 5 แสนล้านบาท ดังนั้นการที่ผู้ให้สินเชื่อบางรายไม่ได้เป็นสมาชิกของ NCB อาจนำไปสู่การกู้ยืมเกินศักยภาพในการชำระคืนของลูกหนี้

จับตาหนี้เสียที่ไม่ใช่แบงก์พาณิชย์

ส่วนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียต้องให้ความสำคัญกับหนี้เสียที่เกิดจากผู้ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งหากพิจารณามูลค่าหนี้เสียของ ธปท. ซึ่งเป็นหนี้เสียที่เกิดจากธนาคารพาณิชย์เท่านั้น เทียบกับมูลค่าหนี้เสียในฐานข้อมูล NCB ซึ่งรวมหนี้เสียที่เกิดจากผู้ให้สินเชื่ออื่น ๆ ด้วย จะพบว่า มูลค่าหนี้เสียรวมและสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวม มีความแตกต่างกันอยู่ค่อนข้างมาก 

โดยในปี 2565 มูลค่าหนี้เสียที่ ธปท. นำเสนออยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท ขณะที่ของ NCB มีมูลค่ามากกว่าที่ 9.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมที่ 2.6% และ 7.6% ตามลำดับ ซึ่งการที่สัดส่วน NPL ของสินเชื่อรวมจากข้อมูล NCB สูงกว่าของ ธปท. สะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้วมูลค่าหนี้เสียที่สูงนั้นเกิดกับผู้ให้สินเชื่ออื่น ๆ ซึ่งบางส่วนอาจยังไม่มีการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และเป็นธรรม

 

สศช. แถลงข่าวรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2566

 

เกาะติดหนี้ครัวเรือนอื่น ๆ 

นอกจากนี้ยังพบว่า หนี้ครัวเรือนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถจำแนกประเภทได้ อาจเป็นหนี้ที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ แม้ว่าข้อมูล NCB จะไม่จำแนกหนี้อื่น ๆ ออกเป็นรายประเภทอย่างชัดเจน แต่หนี้ประเภทนี้ครอบคลุมสินเชื่อเพื่อการเกษตร สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และสินเชื่อที่ไม่สามารถจำแนกประเภทได้ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 18.8% ในปี 2565 

ขณะเดียวกันหนี้ดังกล่าวยังมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสูงเป็นอันดับ 2 โดยมีลูกหนี้ที่เป็น NPL รวมเกือบ 2 ล้านราย ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่ง อาจเกิดจากการไม่มีหน่วยงานก ากับดูแล อาทิ หนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ที่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกรรมเช่าซื้อเป็นการเฉพาะ ทำให้ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมากจากปัญหา เช่น การทวงหนี้และการยึดรถที่ไม่เป็นธรรม หรือการเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่สูง เป็นต้น

อีกทั้ง หนี้เกษตรกรยังรวมอยู่ในหนี้ประเภทนี้ด้วยซึ่งเป็นหนี้ที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่องโดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีสัดส่วนหนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก การศึกษาของ ธปท. ระบุสาเหตุที่ทำให้เกษตรกรมีหนี้สูงและหนี้นาน เนื่องจากเกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอน ขาดความรู้ทางการเงิน รวมทั้งนโยบายของรัฐโดยเฉพาะนโยบายพักชำระหนี้ ซึ่งทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมมีอัตราการสะสมหนี้สูง ซึ่งส่งผลให้หนี้มีการส่งต่อไปยังบุตรหลานในครัวเรือนเกษตรกร

 

สศช. แถลงข่าวรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2566

 

อย่างไรก็ดี สศช. มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 

1.ขยายความครอบคลุมของสมาชิกเครดิตบูโร โดยอาจมีมาตรการส่งเสริมให้ผู้ให้สินเชื่อทุกกลุ่มเข้าเป็นสมาชิก NCB เพื่อให้ผู้ให้สินเชื่อมีข้อมูลสำหรับการพิจารณาให้สินเชื่ออย่างครบถ้วน

2.ต้องมีการกำกับดูแลให้ผู้ให้บริการสินเชื่อดำเนินการตามเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเข้มงวด

3.หน่วยงานรัฐในฐานะคนกลางต้องส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ที่สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง

4.ส่งเสริมการปลูกฝังความรู้ทางการเงิน (Financial literacy) และวินัยทางการเงินต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงวัย

5.ดำเนินนโยบายที่ไม่กระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ หรือกระทบต่อการชำระหนี้ของประชาชน