กระทรวงอุตสาหกรรมปั้น2,547ฐานรากสู่เกษตรอัจฉริยะมูลค่ากว่า100 ล.

16 ก.ย. 2566 | 04:22 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ย. 2566 | 04:22 น.

กระทรวงอุตสาหกรรมปั้น2,547ฐานรากสู่เกษตรอัจฉริยะมูลค่ากว่า100 ล้านบาท หนุนสร้างซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยสู่ตลาดโลก เพิ่มมูลค่าจากวัตถุดิบและอัตลักษณ์ของชุมชน ด้วยกลไกลฝึกอบรม การพัฒนา

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการการขับเคลื่อนการแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม 1 จังหวัด 1 ชุมชน (One Province One Agro-Industrial Community : OPOAI-C)” ประจำปีงบประมาณ 2566 โดยมีชุมชนเข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ จำนวน 2,547 ราย และพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค 312 ผลิตภัณฑ์

ทำให้วิสาหกิจสามารถกระดับผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าสูง ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งของการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทยที่มีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน สร้างรายได้ให้ภาคเกษตรที่เป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยกว่า 45% ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงมีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก แต่ผลผลิตส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับฤดูกาล ทำให้เกิดสินค้าล้นตลาด ราคาตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งจึงขับเคลื่อนโครงการนี้ โดยมุ่งเป้าให้เกษตรกรกลายเป็นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ด้วยการเข้าไปส่งเสริมองค์ความรู้ในการพัฒนาสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าสูง ปลอดภัยและได้มาตรฐาน เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรให้เป็นกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนการเกษตรในลักษณะของฝากของที่ระลึกที่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตและการท่องเที่ยวมากขึ้น 

กระทรวงอุตสาหกรรมปั้น2,547ฐานรากสู่เกษตรอัจฉริยะมูลค่ากว่า100 ล.

กระทรวงอุตสาหกรรมได้มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์และบริการ ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดอย่างมีมาตรฐาน โดยการนำงานวิจัยและพัฒนามาสร้างมูลค่าเพิ่ม มีการใช้วัตถุดิบและทรัพยากรในท้องถิ่นให้สามารถเพิ่มมูลค่า  

นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และช่วยพัฒนาเกษตรกรรายอื่น ทั้งวิสาหกิจชุมชน กลุ่มชุมชนการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร ซึ่งสามารถเชื่อมโยงภาคการผลิต การท่องเที่ยวของจังหวัด มีการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์ หรือ E-Commerce มาใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ สร้างคุณค่าของสินค้าและบริการเพื่อทำการตลาดในวงกว้างมากยิ่งขึ้นทั้งตลอดในประเทศและต่างประเทศ
 
สำหรับการในปีงบประมาณ 2566 ดำเนินการครอบคลุมทั้งจังหวัด 76 จังหวัด สามารถฝึกอบรมเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลิตผลทางการเกษตร จำนวน 2,547 ราย ส่งผลให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ต้นแบบให้กับกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการถึง 312 ผลิตภัณฑ์ และยังมีการฝึกอบรมเชิงลึกเพื่อพัฒนาและยกระดับเกษตรกรสู่การประกอบกิจการธุรกิจเกษตรได้ถึง 410 ราย 

โดยพบว่าเกษตรกรที่ได้รับการพัฒนามีรายได้เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 13.97% และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 50.3672 ล้านบาท และยังส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังสร้างอาชีพให้กับชุมชนได้ไม่น้อยกว่า 3,000 ราย ก่อให้เกิดสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ทอฟฟี่ลำไย จ.เชียงใหม่  ไวน์อ้อย จ.ชัยภูมิ ไซรับอินทผลัม จ.ร้อยเอ็ด น้ำหอมแห้งจากน้ำมันไขชะมด จ.เพชรบุรี สเปรย์มะรุมระงับกลิ่นกาย จ.สิงห์บุรี ข้าวเกรียบกล้วยน้ำว้า จ.กาญจนบุรี เครื่องจมูกข้าวพร้อมชง จ.ปราจีนบุรี  ไอศกรีมกระท้อน จ.สระแก้ว  กระเป๋าสานทางปาล์มบุผ้าปาเต๊ะ จ.กระบี่  เครื่องแกงส้ม จ.พัทลุง เป็นต้น
 

ดร.ณัฐพล กล่าวอีกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายมุ่งพัฒนาภาคอุตสาหกรรมใน 4 มิติ ประกอบด้วย 

  • ความสำเร็จทางธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ มุ่งให้ผู้ประกอบการมีกำไรในการดำเนินธุรกิจ 
  • ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวมส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างสถานประกอบการ ชุมชน และสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรและมีความสุข 
  • ความลงตัวกับกติกาสากล ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อโอกาสทางธุรกิจมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก ทั้งการลดโลกร้อน การลดใช้น้ำ และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้มากขึ้น 
  • การกระจายรายได้สู่ชุมชนที่ตั้ง ด้วยการกระจายรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

"ภาคการเกษตรนับเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมรากฐานของประเทศ เกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ"