รัฐบาล “เศรษฐา 1” ได้เข้ามาบริการประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2566 ผ่านไปเกือบ 1 เดือน ได้เร่งสร้างผลงาน เริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ลดค่าครองชีพเป็นอันดับแรก
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลงานรอบ 1 เดือนของรัฐบาล มองว่าได้ทำงานเชิงรุกได้ดี โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือนร้อนของประชาชน จากมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการทันที ทั้งลดค่าไฟฟ้า น้ำมัน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน
ขณะที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการต่างประเทศ โดยในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ (UNGA) ครั้งที่ 78 ที่นครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 18-26 ก.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้พบปะเจรจากับภาคธุรกิจยักษ์ใหญ่ของโลกจากสหรัฐฯหลายราย เพื่อดึงเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเอกชนหวังว่าในระยะต่อไปจะเกิดการลงทุนจริงอย่างเป็นรูปธรรม
“ในระยะสั้นรัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดค่าไฟฟ้าจากเดิม 4.45 บาท เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย และลดราคาน้ำมันดีเซลต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นนโยบายที่ตรงใจและสอดคล้องกับข้อเสนอเร่งด่วนของภาคเอกชน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาคเอกชนจะสามารถลดต้นทุนและแข่งขันได้”
ในระยะยาวรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนให้เอกชนมีต้นทุนการผลิตที่แข่งขันกับคู่แข่งได้ และยังจะเป็นการดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างชาติให้เข้ามายังไทยมากขึ้นด้วย ส่วนภาคการท่องเที่ยวที่รัฐบาลยกเว้นวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน น่าจะช่วยกระตุ้นให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้ขยับขึ้นไปแตะที่ 28-30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่มีสัญญาณจากการจองเที่ยวบินและห้องพักที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนในระยะยาวรัฐบาลควรยกระดับ e-VISA ในการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ดีขึ้น
ขณะที่ขอให้เร่งดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีมูลหนี้อยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาท เพื่อให้มีสภาพคล่องที่ดีขึ้น ส่วนมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร จำนวน 2.69 ล้านราย เงินต้นคงเป็นหนี้ทั้งหมด 2.8 แสนล้านบาท มองว่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ ลดภาระหนี้สินและสร้างขวัญกำลังใจให้เกษตรกรในการประกอบอาชีพได้
“อีกเรื่องที่เราเป็นห่วงก็คือ เรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยภาคการเกษตร ภาคการผลิต และภาคการท่องเที่ยวลดภาระระยะยาวของประเทศได้ ไม่ต้องมาเสียเงินช่วยเหลือน้ำท่วม น้ำแล้งทุกปี หากรัฐบาลนี้จัดการลงทุนและแก้ไขทันที นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาแล้ว จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของการจ้างงานและการลงทุนในแต่ละพื้นที่ด้วย”
ด้าน นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.วันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา เบื้องต้นที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตั้งแต่ 1 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีแผนผลักดันรถไฟฟ้า 2 สาย ที่อยู่ในการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ เชื่อมต่อรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน
ขณะเดียวกัน รฟม. ได้นำมติบอร์ดฯ ที่เห็นชอบปรับอัตราค่าโดยสารเหลือ 14-20 บาท เสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบ เพื่อนำข้อมูลไปรวมกับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป คาดจะแล้วเสร็จทันใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่แน่นอน ส่วนการเดินทางข้ามสายระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง กับสายสีแดง นั้น จะคิดอัตราค่าโดยสารที่ 20 บาทเช่นกัน
ขณะที่ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด รฟท. เบื้องต้นที่ประชุมฯ ได้อนุมัติดำเนินการตามนโยบาย 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต ซึ่งได้เสนอเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ตามขั้นตอนในการขอปรับค่าโดยสารจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ตามมาตรา 27 ที่ระบุว่าหากหน่วยงานมีมาตรการหรือโครงการใดๆ ที่กระทบต่อรายได้ขององค์กรสามารถดำเนินการได้ซึ่งจะต้องกำหนดแผนหรืองบประมาณที่ใช้จ่าย รวมทั้งระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับด้วย
"หากกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบแล้ว จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในส่วนของขั้นตอนการตรวจสอบทางการเงิน ตามมาตรา 27 จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง คาดว่าการปรับค่าโดยสารในครั้งนี้จะทันกับนโยบายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนแน่นอน"