ส่งออกไทยไตรมาส 4 ฟื้น “EXIM BANK” คาดปีนี้หดตัว 1%

25 ต.ค. 2566 | 08:51 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ต.ค. 2566 | 08:52 น.

EXIM BANK เผยดัชนีส่งออกไทย แนวโน้มไตรมาส 4 ปี 66 ฟื้นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส จากแรงหนุนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาซัพพลายเชนคลี่คลาย คาดทั้งปีหดตัว 1% จับตาสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยืดเยื้อ

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร  กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำการส่งออกของไทยที่ EXIM BANK ได้พัฒนาขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นถึงทิศทางการส่งออกของไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ล่าสุด EXIM Index ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100.04 จาก 99.6 ในไตรมาสก่อนหน้า

นับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสที่ดัชนีมีค่ามากกว่า 100 สะท้อนมูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาสถัดไป คือ ไตรมาส 4 ปี 2566 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังล่าสุดตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายน 2566 สามารถขยายตัวได้เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

“แม้การส่งออกของไทยในไตรมาส 4 ปี 2566 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้จากหลายปัจจัยข้างต้น และผลของฐานมูลค่าส่งออกที่สูงในช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2565 ที่หมดไป แต่มูลค่าการส่งออกของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ที่หดตัวมากกว่าคาดที่ 3.8% ทำให้ EXIM BANK คาดว่า การส่งออกของไทยทั้งปี 2566 จะหดตัวที่ราว -2% ถึง -1%”

ส่งออกไทยไตรมาส 4 ฟื้น “EXIM BANK” คาดปีนี้หดตัว 1%

อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการส่งออกที่มีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2566 เป็นต้นไป จะช่วยหนุนให้การส่งออกปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวและกลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อีกครั้ง โดยได้แรงหนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกองค์ประกอบของดัชนี ดังนี้

ในด้านอุปสงค์ (Demand) ดัชนีด้านอุปสงค์ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 99.5 ในไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 100.0 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี สะท้อนว่าอุปสงค์ในตลาดโลกเริ่มทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ยังขยายตัวจากภาคบริการและตลาดแรงงาน สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ล่าสุดปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งสองประเทศในปี 2566 มาอยู่ที่ 2.1% และ 2.0% ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจจีนก็เริ่มมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ สะท้อนได้จาก GDP ไตรมาส 3 ปี 2566 ออกมาดีกว่าคาดที่ 4.9% และเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่หลายแห่งยังไปต่อได้ อาทิ อินเดีย แอฟริกา เป็นต้น ช่วยหนุนความต้องการสินค้าหลายชนิดของไทย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยุโรปที่ยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ปรับลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค ตลอดจนปัญหาหนี้ที่สูงในบางตลาดยังกดดันกำลังซื้อและอุปสงค์ต่อสินค้าไทยในระดับหนึ่ง

ส่วนด้านอุปทาน (Supply) ดัชนีด้านอุปทานปรับลดลงจากระดับ 101.3 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 101.0 แต่ค่าดัชนียังสูงกว่า 100 เป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนปัญหา Global Supply Chain Disruption คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จากค่าระวางเรือที่ปรับลดลงจากปีก่อนกว่า 80% และปัญหาขาดแคลนชิปทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้น หนุนให้การส่งออกสินค้าส่งออกของไทยที่ต้องใช้ชิปเป็นส่วนประกอบขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนและภาคการผลิตของไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ สะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยที่หดตัวมาแล้ว 11 เดือนติดต่อกัน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตส่วนเกินก็ยังมีอยู่ (อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ต่ำกว่าระดับ 60 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก

ส่วนด้านราคา (Price) ดัชนีด้านราคาปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 99.1 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 99.7 แต่ค่าดัชนียังต่ำกว่า 100 เป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน โดยเฉพาะราคาน้ำมันและราคาอาหารโลกที่แม้จะขยับเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากปัญหา Geopolitics และการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในหลายพื้นที่ของโลก

“แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งราคาน้ำมันและราคาอาหารโลกยังปรับลดลงเฉลี่ยกว่า 12% ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันของไทยซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของมูลค่าส่งออกรวม ยังคงหดตัวต่อเนื่อง”

ขณะที่ในส่วนของสินค้าเกษตรและอาหารของไทยยังได้อานิสงส์จากความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นหลังหลายประเทศเร่งนำเข้าจากประเด็นความมั่นคงด้านอาหารจากภาวะภัยแล้ง สะท้อนได้จากปริมาณการส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวหลายรายการที่ขยายตัวดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี อาทิ ข้าว ผลไม้ เป็นต้น

ด้านความเชื่อมั่น (Sentiment) ดัชนีด้านความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจาก 99.4 ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 99.7 แต่ค่าดัชนียังต่ำกว่า 100 เป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของโลกโดยรวมที่ยังถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูง ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เร่งตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นบ้างหลังนักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่เหลือของปี 2566 สะท้อนได้จาก FedWatch Tool ล่าสุดที่นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.6% และ 75.2% ว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือ ตามลำดับ แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด