เครือเนชั่น กรุ๊ป จัดงาน Dinner Talk Thailand’s Future อนาคตประเทศไทย 2024 ณ ห้องคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566 มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ พร้อมตอบข้อซักถามถึงทิศทางการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวไว้อย่างน่าสนใจทโดยมีนักการเมือง นักธุรกิจชั้นนำ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง กว่า 1,500 คน
แจกดิจิทัลวอลเล็ตลดความเหลื่อมล้ำ
นายเศรษฐา กล่าวว่า รู้สึกสะเทือนใจต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่อิสราเอล ถือเป็นกระจกสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีความยากลำบากจะต้องเสี่ยงชีวิต จึงขอให้คิดดูใหม่ว่าคุ้มหรือไม่หากจะยังไม่เดินทางกลับ ซึ่งความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องการการแก้ไข ทำให้รัฐบาลต้องทำงานหนัก กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องดูแลปากท้องให้ดีและเหมาะสม รวดเร็วที่สุด
ซ่อมเศรษฐกิจความเป็นอยู่ เหตุการณ์นี้เป็นกระจกสะท้อนความเหลื่อมล้ำสังคมไทยหลายมิติ ทำให้ต้องมีนโยบายทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นที่ดำเนินการไปแล้วทั้ง การพักหนี้เกษตรกร การลดราคาค่าไฟฟ้าและน้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ 91 ราคารถไฟฟ้าตลอดสาย บางสี 20 บาท เพื่อลดค่าครองชีพ
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นต่อไป รัฐบาลจะมีโครงการแจกเงินคนละ 10,000 บาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โครงการนี้จะสามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนอาชีพได้ ทำให้หลายครอบครัวสามารถนำเงินไปใช้ในการก่อร่างสร้างตัว หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องอาชีพให้มีรายได้มากขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้กับสังคมไทยในระยะยาวได้
หากฟังอย่างมีเหตุมีผล หรือเห็นด้วยแต่ต้องการให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือไม่เห็นด้วยอย่าและมีข้อเสนอแนะ รัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังยืนยันเศรษฐกิจไทยต้องการการกระตุ้น การแจกเงินมีความหมายหลายอย่าง การกำหนดให้ใช้หมื่นบาทให้หมดใน 6 เดือน เพื่อเร่งการผลิต เร่งใช้จ่าย เกิดการหมุนเวียนของเงิน
ส่วนการกำหนดไม่เกิน 4 กิโลเมตรหรือทั้งอำเภอ เพราะไม่อยากให้คนเอาเงินไปใช้ในเมืองใหญ่ อยากให้ร้านค้าในจังหวัดเล็กๆ ได้ด้วย ซึ่งรัฐบาลอธิบายได้ทั้งหมดเกี่ยวกับแนวคิดของการดำเนินงาน อย่างกรณีทำไมไม่ให้เป็นเงินสด ก็เพราะไม่ต้องการให้เอาเงินไปใช้ในพื้นที่กรุงเทพฯเพียงอย่างเดียว เรามั่นใจว่าสามารถอธิบายได้ถึงที่มาที่ไปของเงิน รวมทั้งเรื่องที่อีกหลายภาคส่วนเสนอแนะเข้ามา
ส่วนจะได้เมื่อไหร่นั้นตอนนี้พยายามปรับปรุงวิธีการที่จะแจกและใช้ อาจจะมีการล่าช้าบ้าง แต่พร้อมน้อมรับคำแนะนำและคำติชมจากหลายฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งกำลังปรับอยู่เพื่อให้ได้โดยเร็วที่สุด
ศึกษาเกณฑ์คนรวยรับสิทธิ์
สำหรับประเด็นที่จะแจกให้คนรวยหรือไม่นั้น เรื่องนี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ข้อคิดว่าคนรวยควรจะได้ด้วยหรือไม่นั้น สิ่งที่ต้องคิดคือ แค่ไหนถึงเรียกว่ารวย หากจะจำกัดรายได้แค่ 1 แสนบาท และเงินเดือน 1.1 แสนบาทควรได้หรือไม่ แบบนี้จะถูกต้องหรือไม่ แล้วเรื่องนี้ใครจะบอกว่ารวยหรือไม่รวยจะวัดอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเอาเกณฑ์แบบนี้ไม่ง่าย กำลังดูอยู่ว่าจะวัดจากอะไร เช่น รายได้หรือทรัพย์สินที่มี ซึ่งจะได้ข้อสรุปจากคณะกรรมการที่ทำงานในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้จะไม่สามารถแจกเป็นเงินสดได้ในต่อแรก หรือนำเงินไปเพื่อชำระหนี้ได้ แต่หากจะเอาเงินไปซื้อของมาใช้หนี้สามารถทำได้ คนที่รับเงินในต่อแรกต้องไปใช้ซื้อสินค้าเป็นการใช้หนี้แทน โดยในระยะเวลา 6 เดือน มั่นใจว่าสามารถหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ เพราะมีระยะเวลาพอสมควรในการใช้ โดยต้องเอาเงินดิจิทัลไปใช้ในพื้นที่ก็ต้องมีการเดินทางเพื่อไปใช้ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเกิดความคึกคัก
“ยอมรับคือความหนักใจของผม คนที่มีเงินในธนาคารกี่ล้านถึงจะเรียกว่าคนรวย แต่ยืนยันอีกครั้งรัฐบาลนี้พร้อมที่จะรับฟัง เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ไม่ได้บอกว่าไม่รับฟังและไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำ ขณะนี้ทีมงานกำลังดูว่าจะวัดจากอะไร มันมีหลายมิติที่ต้องนั่งพูดคุยกัน เพราะโครงการนี้เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไปสร้างและกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน”
ดังนั้น สิ่งที่กล่าวมาไม่ใช่เพียงแต่ประชานิยม แต่เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันให้การสนับสนุน และนโยบายการเงินการคลังที่ดี ไม่ใช่แค่การระมัดระวังเรื่องวินัยการเงินการคลัง แต่นโยบายการเงินการคลังที่ดี ยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน โดยคำนึงถึงวินัยด้านการเงินการคลัง ซึ่งรัฐบาลนี้ทราบดี ว่าสถานภาพการเงินการคลังเป็นอย่างไร ตรงไหนที่ทำได้ รัฐบาลยอมรับเสียงติชมมาตลอด รับฟังข้อเสนอแนะมาตลอด รักษาไว้ซึ่งวินัยการเงินการคลัง
“การกระตุ้นเศรษฐกิจมีทั้งระยะสั้นถึงระยะยาว โดยต้องทำระยะสั้นก่อนไม่อย่างนั้นระยะยาวไม่เกิด ซึ่งจะแจกครั้งเดียว 5.4 แสนล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ โดยในตอนนี้กำลังปรับปรุงนโยบายอยู่ซึ่งอาจจะล่าช้าบ้าง เพราะอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย”
ทำตัวเป็นเซลล์แมนดึงลงทุน
นอกจากนี้ รัฐบาลไม่ได้เห็นความสำคัญเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังมองไปในระยะยาว และระยะกลาง โดยวันนี้นายกรัฐมนตรีจะทำตัวเป็นเซลล์แมน ในการชักชวนต่างชาติเข้ามาลงทุน ซึ่งจากการเดินทางไปเยือนต่างประเทศตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ทุกภาคธุรกิจในหลายประเทศที่ได้้ไปประชุมหารือด้วย ทุกคนยังมองเห็นโอกาสในประเทศไทยอีกมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของตนเี่จะนำจุดเด่นของประเทศไทยไปขาย ไม่ว่าจะเป็นจุดเด่นที่กำลังทำอยู่ในวันนี้
คือ เรื่องของอุตสาหกรรมเดิมที่มีความแข็งแกร่ง หรือจะเป็นความพร้อมของอุตสาหกรรมใหม่ เป็น X Factor ซึ่งที่ผ่านมาได้นำเอกชนร่วมเดินทาง ได้ผลงานที่เป็นรูปธรรม อาทิ การหารือร่วมกับ Microsoft Google Tesla หลายรายสนใจที่จะลงทุนในไทย ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน จะเดินทางไปประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(เอเปค) เชื่อว่าจะมีข่าวดีของ Microsoft Google และรายอื่นๆ ตามมา
ขณะที่ก่อนสัปดาห์ที่ผ่านได้เดินทางไปประเทศจีน มีภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย นักธุรกิจไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ร่วมเดินทางไปด้วย มีการประชุมเพื่อทำ Business Matching ช่วยเอื้อให้เกิดการพูดคุย รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้เกิดการค้าการลงทุน สินค้า Hitech ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีการลงทุนประเภทยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV เป็นผลงานที่ส่งต่อมาจากรัฐบาลที่แล้วด้วย และรัฐบาลนี้พร้อมสานต่อ เราจะสนับสนุนให้เกิดการผลิต ก่อตั้งห่วงโซ่การผลิตที่ไทย
นอกจากนี้ การเดินทางเยือนซาอุดิอาระเบีย ได้พบบริษัทชั้นนำเช่น SABIC SALIC ARAMCO และ PIF ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนบำเหน็จบำนาญ มีเงินลงทุน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทุกบริษัทสนใจมาลงทุนเลี้ยงโคส่งออกต่างประเทศรวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศยังพบว่า ประเทศต่างๆ
เช่น บรูไน มาเลเซีย ซาอุดิอาระเบีย มีความต้องการเนื้อโค และกระบือ เป็นจำนวนมาก รัฐบาลมองเห็นโอกาสนี้ โดยจะมีนโยบายสนับสนุนเลี้ยงโคและกระบือไปขายต่างประเทศ เช่น บรูไน มาเลเซีย ซาอุดิอาระเบีย ทุกประเทศมีความต้องการสูงมาก เป็นแผนงานระยะกลางระยะยาว เพิ่มรายได้เกษตรกร ให้มีรายได้มากขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ไม่ใช่แค่เพิ่มราคา แต่พัฒนาอาชีพด้วย ไม่ใช่เพียงปลูกข้าวอย่างเดียวแต่ให้เลี้ยงโคด้วย
ดังนั้น รัฐบาลจะไม่เหนียมอายกับการนำเอกชนไปพบนักลงทุนต่างประเทศ โดยรัฐบาลเป็นตัวกลางให้ทุกคนเข้าถึงสินค้าและการบริการของไทย รัฐบาลจะไปเปิดคู่ค้าไม่หยุดยั้ง ไม่กลัวถูกต่อว่าว่าเอื้อเอกชน เรากล้าให้ประโยชน์เอกชน รัฐบาลจะเป็นตัวกลางจับคู่เอกชนระหว่างประเทศ เชื่อมเอกชนกับต่างชาติ รัฐบาลเต็มใจช่วยเหลือ เพื่อยกระดับขีดการแข่งขัน