นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า แม้จีดีพีไทยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะโตเพียง 1.5% ยังถือว่าไม่วิกฤติ เพียงแค่เติบโตช้า (Slow down) ถ้าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จีดีพีไทยจะต้องติดลบเหมือนดังเช่นวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540
“ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งจีดีพีติดลบ 8% เงินเฟ้อพุ่งกว่า 7% ค่าเงินบาทอ่อนลงกระทันหัน 100% มีบริษัทปิดตัว บางแห่งปรับลดพนักงาน แต่ครั้งนี้ ยังไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแค่ชะลอตัวลงไม่ต้องกังวล”
ทั้งนี้ หากเทียบการเติบโตของไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ ในกลุ่มประเทศอาเซียน อาจจะถือว่าวิกฤตมากกว่า เพราะไทยเติบโตช้ากว่าหลายประเทศมาก ซึ่งปีหน้าถ้ารัฐบาลไม่ใส่เงินเข้าไปในระบบ ไทยน่าจะเติบโตได้ราว 3% ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรฐกิจโลกที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น ไปจนถึงการลงทุนภาครัฐที่น่าจะกลับมา จากการออกงบประมาณรายจ่ายประจำปี
สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาทแบบถ้วนหน้า โดยใช้งบประมาณจากการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทนั้น เชื่อว่าจะมีผลต่อจีดีพีได้เพียง 0.5% ซึ่งหากเป้าหมายของรัฐบาลจะเติบโตปี 5% นั้น มาตรการนี้ถือว่าช่วยได้ไม่มาก แถมยังได้ไม่คุ้มเสีย
อย่างไรก็ตาม โครงการดิจิทัล วอลเล็ต มีการกำหนดวงเงินไว้ 5 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลจะมีการจัดสรรงบประมาณอีก 1 แสนล้านบาทเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งต้องไปดูในรายละเอียดว่าจะใช้เงินอย่างไร
นายอัทธ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เบื้องต้น แนะนำรัฐบาลให้ใช้เงินอย่างคุ้มค่า โดยจะต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
“Concept การแจกเงินเฉย ๆ ผมว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เหมือนพ่อสอนลูกให้เป็นหนี้แต่ไม่ต้องทำงาน เดี๋ยวมาเอาเงินจากพ่อไปจ่าย มันไม่เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน”