วันนี้ (26 ธันวาคม 2566) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. (26 ธันวาคม 2566) มีมติเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้ง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่น รอบใหม่เป็นปีต่อปี ลดลงจากเดิมที่คณะกรรมการนโยบายอาหาร เสนอมา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2569
นายชัย กล่าวว่า แนวคิดนี้เป็นมานานแล้วหลายรัฐบาล โดยก่อนจะถึงครม.วันนี้ ครม.เคยอนุมัติการนำข้าให้รอบละ 3 ปี คือรอบปี 2564-2566 และในการนำเสนอมาครั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายอาหาร ก็เสนอมาว่าให้ต่อเหมือนเดิมทุกประการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2569 ด้วยเงื่อนไขเหมือนเดิมทุกประการ
แต่ครม.ได้คุยกันว่า เนื่องจากรัฐบาลนี้มีนโยบายส่งเสริมการปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือ จะไม่มีการเผาตอซัง และในช่วงนับจากนี้ไปพื้นที่การเพาะปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองจะเพิ่มขึ้น
ดังนั้นเพื่อเป็นหลักประกันว่าทุก ๆ ปี เมื่อผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่ได้สิทธิการนำเข้าอาหารสัตว์ จะต้องรักษาข้อตกลงในการรับซื้อผลผลิตในประเทศอย่างเต็มที่ ครม.จึงขอตัดเหลือแค่ 1 ปีเท่านั้น
“ครม.ได้ขอตัดจาก 3 ปี เหลือแค่ 1 ปี หรือปีต่อปี แล้วค่อยพิจารณาอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่ได้สิทธิการนำเข้าอาหารสัตว์แล้ว ต้องซื้อวัตถุดิบในประเทศตามที่ตกลงไว้ แสดงให้เห็นชัดว่า นโยบายของรัฐบาลเข้าใจดีว่าผู้ผลิตอาหารสัตว์จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบที่ไม่พอ แต่รัฐบาลก็ต้องการสร้างหลักประกันให้เกษตรกรที่ปลูกวัตถุดิบมีหลักประกันว่าผู้นำเข้าต้องซื้อวัตถุดิบทั้งหมดในราคาที่เป็นธรรม” นายชัย ระบุ
สำหรับเหตุผลของการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้ง 3 ชนิด นั้น เป็นผลมาจากปัจจุบันประเทศไทยไม่สามารถผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งหมดเข้ามาในประเทศ แยกเป็นชนิดต่าง ๆ ดังนี้
พร้อมกันนี้ที่ประชุมครม.ยังให้กำหนดมาตรการดูแลคุ้มครองเกษตรกรและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมให้ได้รับความเป็นธรรม โดยให้คงนโยบายและมาตรการนำเข้าเช่นเดียวกับปี 2564-2566 ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลง มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
1.การนำเข้าภายใต้ WTO โดยในโควตา อัตราภาษี 20% ปริมาณ 54,700 ตัน โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้า ไม่จำกัดช่วงเวลานำเข้า ส่วนนอกโควตา อัตราภาษี 73% และค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ 180 บาท ไม่จำกัดปริมาณ
2.การนำเข้าภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) อัตราภาษี 0% (ไม่จำกัดปริมาณ) โดยกำหนดให้ อคส. เป็นผู้นำเข้า ไม่จำกัดช่วงเวลานำเข้า ส่วนผู้นำเข้าทั่วไป กำหนดช่วงเวลานำเข้าระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 สิงหาคม ของแต่ละปี และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558
3.การนำเข้าภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ในโควตา ภาษี 0% ไม่จำกัดปริมาณ โดยต้องมีหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย สำหรับภาษีในโควตา เพื่อประกอบการนำเข้า ส่วนนอกโควตา ภาษี 65.70% ไม่จำกัดปริมาณ
4.การนำเข้าภายใต้กรอบการค้าอื่นๆ เป็นไปตามข้อผูกพัน เช่น ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) อัตราภาษี 0% ไม่จำกัดปริมาณ
5.การนำเข้าจากประเทศนอกความตกลง อัตราภาษีกิโลกรัมละ 2.75 บาท และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตันละ 1,000 บาท (ไม่จำกัดปริมาณ)
1.การนำเข้าภายใต้ WTO โดยในโควตา อัตราภาษี 2% ผู้มีสิทธินำเข้าทั้งสิ้น 11 ราย หากมีผู้ยื่นขอมีสิทธินำเข้ารายใหม่ให้อยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการนโยบายอาหารพิจารณาตามความจำเป็นและความเหมาะสม ส่วนนอกโควตา อัตราภาษี 119%
2.การนำเข้าภายใต้กรอบการค้าอื่นๆ เป็นไปตามข้อผูกพัน เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ภาษี 0% ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ภาษี 0%
3.การนำเข้าจากประเทศนอกความตกลง อัตราภาษี 6% และค่าธรรมเนียมพิศษ ตันละ 2,519 บาท
1. การนำเข้าภายใต้ทุกกรอบการค้า เป็นไปตามข้อผูกพัน เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ภาษี 0% ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ภาษี 0%
2. การนำเข้าจากประเทศนอกความตกลง ปลาป่น โปรตีนต่ำกว่า 60% อัตราภาษี 6% ปลาป่นโปรตีน 60% ขึ้นไป อัตราภาษี 15%