การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต (Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ในฐานะแขกของรัฐบาล ตามมาด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ 5 ฉบับ และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ยกระดับความสัมพันธ์ สู่การเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น และส่งเสริมศักยภาพของทั้งสองประเทศที่มีร่วมกัน
โดยเฉพาะในด้าน การพัฒนาพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ทับซ้อน ทั้งสองฝ่ายได้หารือและตกลงที่จะกระชับความร่วมมือในด้านความมั่นคงด้านพลังงาน โดยนายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้แถลงข่าวร่วมกันว่า มีการตกลงที่จะหารือเพิ่มเติมเพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนกันในอ่าวไทยระหว่างไทยและกัมพูชา
ทั้งนี้ เนื่องจากมองว่าสถานการณ์โลกปัจจุบันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของทั้งไทยและกัมพูชา ดังนั้น จึงตกลงที่จะกระชับความร่วมมือในด้านความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งจะหารือกันเพิ่มเติมเพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างทั้งสองประเทศ (Overlapping Claims Area: OCA) ในอ่าวไทย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) วันนี้ (8 ก.พ.) ว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” บทบาทของไทย-กัมพูชาจะสนับสนุนเกื้อกูลกันมากขึ้น การเจรจาประเด็นการพัฒนาแหล่งพลังงานร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยจึงไม่ใช้คำว่า “ข้อพิพาท” แต่เป็นเรื่องของ “ความร่วมมือ” มากกว่า
อธิบดีฯกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้แถลงข่าวร่วมกันไว้แล้ววานนี้ (7 ก.พ.) ว่า จะมีการเจรจากันต่อไปในเรื่องนี้เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตท่ามกลางความปรวนแปรของสถานการณ์พลังงานโลก และเพื่อแสวงหาหนทางว่าจะมีความร่วมมือกันเรื่องนี้ได้อย่างไร
ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า จะไม่แยกส่วนการเจรจาเรื่องการพัฒนาพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน (OCA) ออกจากการเจรจาเรื่องเขตแดน แต่จะเจรจาควบคู่กันไป ตามที่ได้มีการกำหนดไว้แล้วในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) 2544
ไทยและกัมพูชามีความพยายามเจรจาแก้ไขปัญหาซึ่งเดิมเรียกว่า “ข้อพิพาท” กรณีพื้นที่ทับซ้อนครั้งแรกเมื่อปี 2513 แต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อนทั้งทางเทคนิคและทางกฎหมาย กระทั่งปี พ.ศ. 2544 ยุครัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ไทยและกัมพูชาได้ตกลงที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ซึ่งไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เรียกสั้นๆ ว่า เอ็มโอยู 2544 (MOU 2544) ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ระบุว่า ไทยและกัมพูชาจะเจรจาแก้ไขปัญหาการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันใน 2 เรื่อง คือ
นอกจากนี้ MOU ยังระบุให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (Joint Technical Committee: JTC) ขึ้น ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากทั้งสองประเทศ เพื่อทำหน้าที่กำหนดเงื่อนไขความตกลงในการพัฒนาร่วมกัน ตั้งแต่เรื่องการแบ่งปันค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ที่แต่ละประเทศจะได้จากทรัพยากรปิโตรเลียม ตลอดจนเรื่องปัญหาเขตแดน ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น คณะกรรมการร่วมฯ จะต้องจัดการประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ และอนุญาตให้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการมาช่วยดำเนินการได้
แต่ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีการจัดทำ MOU 2544 มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว การเจรจาก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้งยังสะดุดเป็นระยะๆ จากหลายเหตุปัจจัย ทั้งปัญหาความบาดหมางระหว่างทั้งสองประเทศ และความยุ่งเหยิงทางการเมืองของไทยเอง
กระทั่ง ยุคของนายกฯ เศรษฐา และนายกฯฮุน มาแนต ที่ระดับผู้นำรัฐบาลส่งสัญญาณชัดเจนว่า ต้องการให้สองฝ่ายจับมือกันตั้งโต๊ะเจรจา สร้างความคืบหน้าในเรื่องการพัฒนาพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกันเสียที เพื่อร่วมกันสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเห็นควรให้มีการเพิ่มหน่วยงานเข้าไปในการเจรจา เช่น กองทัพเรือ มาช่วยในการตั้งกลไกในการหารือเพื่อให้มีความครอบคลุมทุกมิติ ขณะที่ผู้นำกัมพูชา เน้นย้ำความยั่งยืนด้านการพัฒนาพลังงานในแง่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการ “เติบโตอย่างยั่งยืน” ของทั้งสองประเทศ จึงเห็นชอบให้มีการตั้งทีมเฉพาะกิจ (Joint Technical team for explorer) และให้มีการหารือเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศต่อไป