รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ที่ดีของ ไทย-กัมพูชา จะนำมาสู่การเจรจาเพื่อ พัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อสำรวจ แหล่งพลังงานใหม่ ให้กับทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ มองว่า การเจรจาทางเศรษฐกิจ การทำข้อตกลงเศรษฐกิจ และการทำความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างไทย-กัมพูชา จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางการค้า-การลงทุน การขยายตัวตามแนวชายแดนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งมีความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนมากขึ้น
การพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา เช่นเดียวกับที่ไทยได้ดำเนินการกับมาเลเซีย จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ต่อธุรกิจอุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยจะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของประเทศในอนาคต สามารถลดราคาพลังงานได้ในระยะยาว ลดต้นทุนภาคการผลิตและการดำเนินชีวิตของประชาชน สามารถทดแทนการนำเข้าพลังงาน ส่งผลบวกต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย และทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น
"หากไม่ตัดสินใจดำเนินการโครงการพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อน Overlapping Claims Area (OCA) ตอนนี้แล้ว มูลค่าทรัพยากรพลังงานที่ได้จากพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว จะลดมูลค่าลงไปเรื่อย ๆ ในช่วง 3 ทศวรรษข้างหน้า จนกระทั่งในที่สุด ทรัพยากรธรรมชาติแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ อาจไม่คุ้มทุนที่จะสำรวจขึ้นมาใช้" รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
พร้อมกันนี้ ได้เสนอรัฐบาลให้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ควรจะพลักดันให้เกิดโครงการลงทุนเชื่อมโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบินผ่านกัมพูชาสู่เวียดนามด้วย รวมทั้งพัฒนาศูนย์วิจัยและนวัตกรรม สถาบันการศึกษาชั้นสูง การพัฒนาและยกระดับท่าเรือน้ำลึกที่มีอยู่แล้วตามระเบียงเศรษฐกิจจากตะวันตกสู่ตะวันออก
สิ่งเหล่านี้จะเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค และทำให้เขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซียกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่มีสภาวะแวดล้อมรองรับอุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรม New S-Curve ได้ดียิ่งขึ้น