ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.(ฉบับย่อ) ครั้งที่ 1/2567 วันที่ 2 กุมภาพันธ์ และ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ที่มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี โดย 2 เสียงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี
กรรมการ กนง. 7 คนที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ประธาน) นางอลิศรา มหาสันทนะ (รองประธาน) นางรุ่ง มัลลิกะมาส นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน นายรพี สุจริตกุล นายสันติธาร เสถียรไทย และนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส
รายงานการประชุมกนง. ครั้งที่ 1/2567 ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกและภาวะตลาดการเงิน เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องในปี 2567 แต่ผลดีต่อการค้าโลกยังมีจำกัด โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นแรงส่งหลักยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยการฟื้นตัวของภาคบริการ
ด้านเศรษฐกิจจีนที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียสูงยังคงฟื้นตัวได้ช้าจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อที่ทำให้ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับลดลง โดยภาวะแวดล้อมดังกล่าวทำให้ภาคการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ล่าช้า
ขณะที่การกลับมาของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกแม้จะเริ่มเห็นสัญญาณชัดเจน ขึ้นบ้างแต่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลให้การส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของบาง ประเทศในภูมิภาคเอเชียอาจได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่ จึงคาดว่าการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการส่งออก สินค้าของภูมิภาคเอเชียในปี 2567 จะมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ตลาดการเงินโลกสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับดีขึ้น (risk-on sentiment) ส่งผลให้ราคา สินทรัพย์เสี่ยงปรับสูงขึ้นและเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าประเทศในภูมิภาคมากขึ้น ส่วนหนึ่งจากการคาดการณ์ แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักภายในปีนี้ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ
จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาภาวะการเงินในประเทศโดยรวมทรงตัว โดยต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาด ตราสารหนี้ทรงตัวใกล้เคียงเดิม ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนยังได้รับสินเชื่อใหม่อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ยอดคง ค้างสินเชื่อที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาส่วนหนึ่งมาจากการชดใช้คืนหนี้ที่กู้ยืมจากมาตรการช่วยเหลือพิเศษ ในช่วง COVID-19 หลังจากสภาพคล่องภาคธุรกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว ผู้ประกอบการในภาพรวมยังสามารถชำระ หนี้ได้ โดยมีธุรกิจ SMEs บางส่วนที่เผชิญกับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นและภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวตามความ ระมัดระวังของสถาบันการเงิน
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ปรับอ่อนค่าในทิศทางที่ สอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ตามการคาดการณ์เงื่อนเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคาร กลางสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงในช่วงปลายของปี 2566 โดยหลักมาจาก
(1) ภาคการส่งออกและการผลิต สินค้าอุตสาหกรรมที่ชะลอลง เนื่องจากอุปสงค์สินค้าโลกและคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนยังคงฟื้นตัวช้า ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยโดยเฉพาะด้านความสามารถในการแข่งขันที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ ภาคการส่งออกและการผลิต
(2) รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับต่ำลงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะปรับดี ขึ้น ส่วนหนึ่งจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มีวันพักเฉลี่ยน้อยลง ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่อทริปลดลง และ
(3) การลงทุนภาครัฐที่ลดลงมากเป็นพิเศษในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้า
อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วง 2.5-3.0% ในปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก
(1) การบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุน จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือน รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้น
(2) ภาค การท่องเที่ยวที่ขยายตัว สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและเครื่องชี้ความต้องการท่องเที่ยวในไทยที่ อยู่ในทิศทางขยายตัว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 จะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน
ในขณะที่ภาคการส่งออกและการผลิตมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนหนึ่งจากอุปสงค์สินค้าโลกที่ฟื้นตัวช้าและ ผลประโยชน์จากการกลับมาของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่น้อยลง
นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะด้าน ความสามารถการแข่งขันในภาคการส่งออกจะเป็นอุปสรรคมากขึ้นและลดทอนประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจาก การฟื้นตัวของอุปสงค์โลกหากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะ ข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอน โดยมีความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญจากเศรษฐกิจโลกที่อาจขยายตัวต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจจีนและผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผลดีจากการฟื้นตัวของ การค้าโลกต่อภาคการส่งออกของไทยที่อาจน้อยกว่าที่ประเมินไว้จากปัญหาเชิงโครงสร้าง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าที่ประเมินไว้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบในระยะสั้นจากปัจจัยเฉพาะด้านอุปทาน อาทิ
(1) ราคาอาหารสดที่ปรับ ลดลงจากสินค้าบางรายการมีผลิตผลออกสู่ตลาดมาก อาทิ เนื้อสุกรและผัก
(2) ราคาพลังงานที่ปรับลดลง จากการขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
สำหรับปี 2567 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรง ตัวในระดับต่ำใกล้เคียง 1% ก่อนที่จะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้า
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมี แนวโน้มทรงตัวในระดับใกล้เคียงเดิม สอดคล้องกับเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อที่ทรงตัว ทั้งนี้ ต้องติดตามความ เสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงาน ผลกระทบของปรากฏการณ์ เอลนีโญ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการ กนง.อภิปราย
คณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันภาคการส่งออกและภาคการผลิตมาเป็น เวลานานส่งผลชัดเจนขึ้นต่อเศรษฐกิจ โดยกลุ่มสินค้าส่งออกกว่า 70% ที่ฉุดรั้งมูลค่าการส่งออกใน ปี 2566 มาจากสินค้าที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เช่น
(1) สินค้าหมวดปิโตรเคมีที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของจีนที่ต้องการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศและ ลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ (dual circulation strategy)
(2) สินค้า hard disk drive ที่ สูญเสียตลาดให้กับ solid state drive ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนที่ผู้ประกอบการในไทยยังไม่มีความสามารถ ในการผลิต ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยขยายตัวได้เฉลี่ย 4% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ ผ่านมา ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียที่ขยายตัว 37% 14% และ 10% ตามลำดับ
(3) สินค้าเกษตร เช่น ข้าว โดยส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวของไทยลดลง ล่าสุดมาอยู่ที่ 13% จาก 25% ในปี 2546
นอกจากนี้ การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศของไทยถูกกระทบจากการ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันเช่นกัน สะท้อนจากสัดส่วนสินค้านำเข้าต่อการบริโภคภาคเอกชนของ ไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจาก 17% มาอยู่ที่ 24% ในปี 2566 โดยเป็นการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นจาก 5% มาอยู่ที่ 9%
คณะกรรมการ กนง.เห็นว่าการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีความท้าทายมากขึ้นจาก
(1) การประเมินผลกระทบของปัจจัยเชิงโครงสร้างต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยส่งผลต่อทั้งแรงส่งเศรษฐกิจในระยะสั้น
อาทิ ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการฟื้นตัวของอุปสงค์โลกส่วน หนึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก และระยะยาวผ่านระดับศักยภาพการขยายตัว ของเศรษฐกิจไทยที่อาจลดต่ำลง ซึ่งยังไม่สามารถประเมินเชิงปริมาณได้ชัดเจนในปัจจุบัน และขึ้นอยู่กับ การปรับตัวของภาคเอกชนและนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้วย
(2) การประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยมี ความท้าทายมากขึ้น สะท้อนจาก GDP ด้านการใช้จ่ายและด้านการผลิตที่มีความแตกต่างกันและทำให้ การเปลี่ยนแปลงของระดับสินค้าคงคลังและค่าสถิติคลาดเคลื่อน (change in stock and statistical discrepancy) มีอิทธิพลต่อตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากในระยะหลัง คณะกรรมการ กนง.จึงให้ ความสำคัญกับการติดตามเครื่องชี้ที่หลากหลาย รวมถึงให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาคธุรกิจ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความครอบคลุมรอบด้านและทันการณ์
คณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าอุปสงค์ในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและเป็นแรงขับเคลื่อน สำคัญของเศรษฐกิจในช่วงประมาณการ โดยมีแรงสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ภาคครัวเรือน โดยอัตราการว่างงานที่คำนวณจากค่าเฉลี่ยข้อมูลรายเดือนสำหรับไตรมาส 4 ปี 2566 ปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น้อยกว่า 1% จากที่เคยอยู่ในระดับสูงถึง 2.2% ในช่วง วิกฤต COVID-19 รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี เป็นต้น
สำหรับแรงกระตุ้นภาครัฐโดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2568 ปรับเพิ่มขึ้นตามกรอบงบประมาณใหม่ และ ต้องติดตามการดำเนินโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลและมาตรการอื่น ๆ ซึ่งยัง มีความไม่แน่นอน
คณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบไม่ได้สะท้อนอุปสงค์ที่อ่อนแอ โดย
(1) ราคาสินค้าที่ปรับลดลงมากจำกัดอยู่ในบางกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะด้านอุปทานและ มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ เช่น ราคาอาหารสดและพลังงาน โดยหากหักผลของมาตรการ ช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงเป็นบวก
(2) ราคาสินค้าไม่ได้ปรับลดลงเป็นวงกว้าง โดยล่าสุดมีเพียง 25% ของรายการสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อทั่วไปที่ราคาปรับลดลง ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับในอดีต
(3) การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลาง (medium-term inflation expectations) ยังทรงตัวใกล้เคียงค่ากลางของกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการ กนง.เห็นว่า อัตราการขยายตัวของราคาที่ต่ำในบางกลุ่มสินค้าส่วนหนึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างตลาดและภาวะการแข่งขันที่ กำลังเปลี่ยนแปลงมากกว่าปัจจัยมหภาค และเห็นควรให้ศึกษาผลกระทบในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี กระบวนการ disinflation ที่เกิดขึ้นของไทยนั้นเร็วกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพของ ครัวเรือนหลังจากที่เร่งสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา
คณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าภาวะการเงินไม่เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม สะท้อนจาก
(1) ธุรกิจในภาพรวมยังสามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ทรงตัวตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2566 ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจขนาดเล็กบางส่วนแม้ปรับด้อยลงแต่เป็นผลมาจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้ามากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
(2) สินเชื่อปล่อยใหม่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านยอดคงค้างสินเชื่อปรับลดลงจากการใช้คืนหนี้ที่กู้ยืมจากมาตรการช่วยเหลือพิเศษในช่วง COVID-19 เป็นสำคัญ
(3) การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แม้มีผู้ออกตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงบางรายระดมทุนทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน (rollover) ได้ไม่เต็มจำนวน แต่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของ บริษัทและไม่ได้มีปัญหาเชิงระบบ
คณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของ ไทยในปัจจุบันมีความเหมาะสม โดยเห็นว่าข้อเสนอให้พิจารณาผ่อนคลายเกณฑ์ LTV จากองค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ผ่านกระทรวงการคลัง อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและไม่คุ้มกับ ประโยชน์ที่ได้จากการกระตุ้นการซื้อขายในระยะสั้น เนื่องจาก
(1) เกณฑ์ LTV ในปัจจุบันไม่ได้เป็น อุปสรรคต่อการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนส่วนใหญ่ โดยจากข้อมูลพบว่าเกือบ 90% ของผู้ซื้อที่อยู่ อาศัยไม่ได้ติดเกณฑ์ LTV และสามารถได้รับวงเงินกู้ที่ 100% อยู่แล้ว นอกจากนี้ เกณฑ์ LTV ปัจจุบัน ของไทยที่ 90-100% สำหรับสัญญาแรกมีความผ่อนปรนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อาทิ เกณฑ์ LTV ของเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์อยู่ที่ 50-70%, 75% และ 80% ตามลำดับ
(2) ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังสามารถเติบโตได้ โดยยอดขายยังเพิ่มขึ้นสะท้อนจากจำนวนการโอน กรรมสิทธิ์ ในขณะที่อุปทานฟื้นตัวสะท้อนจากจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นของ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังสะท้อนมุมมองการขยายตัวต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
(3) การผ่อน ปรนเกณฑ์ LTV เพิ่มเติมอาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ผ่านการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยบางกลุ่มปรับสูงขึ้น ผู้กู้บางรายอาจก่อหนี้เกินตัว อีกทั้งกระบวนการลดหนี้ (deleveraging) ที่เริ่มมีความคืบหน้าไปบ้างอาจถูกกระทบ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความเปราะบาง ให้กับระบบการเงินในระยะยาว
คณะกรรมการ กนง.ตระหนักถึงผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะบริษัทที่มีขนาดเล็กและกำไรต่ำ หรือครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูงที่จะได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ จึงสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการผลักดันให้สถาบันการเงินดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องและการใช้มาตรการเฉพาะจุด เช่น การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) และการคุ้มครองสิทธิลูกหนี้ ซึ่งจะมีประสิทธิผลมากกว่าและมีต้นทุนน้อยกว่า การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ส่งผลกว้างระดับมหภาค (blunt tool)
คณะกรรมการ กนง.ส่วนใหญ่เห็นว่าการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจ (neutral interest rate) จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเห็นว่า
(1) เศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากแรงส่งจากภาคต่างประเทศที่น้อยลงและผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
(2) การลดอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มแรงส่งต่อเศรษฐกิจได้ไม่มากนักในบริบทที่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง และ ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้ policy space ที่มีจำกัดอย่างไม่คุ้มค่า
(3) ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจมีนัยต่อ neutral interest rate ซึ่งขึ้นอยู่กับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบดังกล่าวประเมินว่ามีไม่มาก อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงควร ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ความชัดเจนที่มากขึ้น
(4) ต้นทุนของการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เกินไปคือการกระตุ้นการสร้างหนี้ใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจที่ปัจจุบันอยู่ในที่ระดับสูงมากอยู่แล้ว และอาจ ทำให้กระบวนการลดหนี้ (deleveraging) ที่กำลังคืบหน้าหยุดชะงัก นอกจากนี้ อาจเพิ่มพฤติกรรมการ แสวงหาผลตอบแทนที่เสี่ยงมากขึ้น (search for yield) ลดทอนแรงจูงใจในการพัฒนาด้านศักยภาพการ ผลิตส่งผลลบต่อประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรรวมทั้งเพิ่มการสะสมความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี กรรมการฯ มีความยืดหยุ่นและพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากพัฒนาการ เศรษฐกิจและเงินเฟ้อเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่กรรมการฯ 2 ท่านเห็นควรให้ลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายลง โดยเห็นว่า
(1) ระดับ neutral interest rate อาจต่ำกว่าที่ประเมินอย่างมีนัย จาก ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรงและชัดเจน
(2) การผ่อนคลาย ภาวะการเงินลงระดับหนึ่ง แม้อาจไม่ช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจได้มากนักในระยะสั้น แต่เป็นการลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอลงต่อเนื่องในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากภาคการส่งออกและการ ผลิตฟื้นตัวช้ามากกว่าที่คาด จนส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังการจ้างงาน ซึ่งมีนัยสำคัญต่อความยั่งยืนในการ ขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน
การดำเนินนโยบายการเงิน
คณะกรรมการ กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี โดย 2 เสียง
เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี
คณะกรรมการ กนง.เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในปี 2567 จากการชะลอลงในภาคการ ส่งออกและการผลิต โดยเป็นผลจากอุปสงค์โลกและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศที่เป็น เครื่องยนต์หลักยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน และมี แนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าที่ประเมินไว้ ภาวะการเงินโดยรวมทรงตัว และไม่เป็น อุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
แต่บริษัทที่มีขนาดเล็กและกำไรต่ำ รวมถึงครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูงได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ โดยต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อสำหรับ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังฟื้นตัวช้า
คณะกรรมการ กนง.สนับสนุนมาตรการปรับโครงสร้างหนี้และมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคาควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้ เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
คณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าการขยายตัวของ เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงเป็นผลมาจากปัจจัยต่างประเทศและปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีแรงส่งต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมาย อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ การเงินในระยะยาว
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ กนง.เห็นว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้าจาก ปัจจัยวัฏจักรเศรษฐกิจและปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าจะ พิจารณาให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ