“อลงกรณ์” ชี้รัฐบาลไร้แผนรับมือ ศก.โตต่ำ FDI ไหลเข้าน้อยกว่าอินโดฯ-มาเลย์

06 มิ.ย. 2567 | 10:47 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มิ.ย. 2567 | 10:58 น.

“อลงกรณ์” ระบุประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะอับจนทางเศรษฐกิจ จากรัฐบาลไร้แผนรับมือ ทั้งแผนกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แผนปฏิรูปเชิงโครงสร้าง สะท้อนจากจีดีพีไตรมาสแรกโตต่ำ FDI ไหลเข้าน้อยกว่าอินโดฯ-มาเลย์-เวียดนามหลายเท่าตัว

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรี และสส.6 สมัยโพสต์ในเฟซบุ๊ก แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยชี้ว่า ประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะอับจนทางเศรษฐกิจเพราะรัฐบาลไม่มีแผนรับมือที่ชัดเจน ไม่มีแผนแม่บทในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ทั้งที่รัฐบาลทำงานมาเกือบปี

ล่าสุดเพิ่งเรียกประชุม“ครม.เศรษฐกิจ” ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่มีแผนหรือมาตรการใด ๆ ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะมีสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังทรุดหนักมาหลายเดือนแล้ว เช่นตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้เติบโตเพียง 1.5 % ต่ำที่สุดในอาเซียน และต่ำกว่าปี 2566 ที่ขยายตัว 1.9 %

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)น้อยกว่าอินโดนีเซีย 7 เท่า มาเลเซีย 6 เท่า และเวียดนามกว่า 2 เท่า โดยปี 2566 FDI ไหลเข้าอินโดนีเซีย 21,701 ล้านดอลลาร์, มาเลเซีย 18,500 ล้านดอลลาร์, เวียดนาม 8,255 ล้านดอลลาร์ และไทย 2,969 ล้านดอลลาร์ เมื่อไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ ก็ไม่มีการจ้างงานเพียงพอต่อลูกหลานที่จบออกมาในแต่ละปี

ส่วนมูลค่าการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์สร้างรายได้หลักของประเทศ ก็โดนเวียดนามและมาเลเซียแซงหน้าไปแล้ว โดยการส่งออก 4 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 94,274 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามมีมูลค่า 123,928 ล้านดอลลาร์ และมาเลเซียมีมูลค่า 100,836 ล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงภาวะถดถอยของขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย

นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหาโคลนติดล้อ คือ“หนี้สาธารณะ” ณ 31 มี.ค. 2567 มีจํานวน11,474,153 ล้านบาท คิดเป็น 63.67% ของ GDP โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกว่า 10,087,188 ล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลยังมีแผนก่อหนี้เพิ่มขึ้นกว่าล้านล้านบาทในปีงบประมาณ 2567-2568 แต่ไม่มีแผนสร้างรายได้ที่จับต้องได้

“ประเทศต้องการการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวไปพร้อม ๆ กัน โดยมีแผนและกลไกที่เป็นรูปธรรม รัฐบาลจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียวไม่ได้ ผมเคยเสนอนายกรัฐมนตรีให้หยุดหรือลดการเดินสายทั้งในและต่างประเทศลงบ้าง แล้วหันมาจัดทำแผนแม่บทในการกอบกู้และปฏิรูปเศรษฐกิจโดยเร่งด่วนให้แล้วเสร็จ แต่ก็ไม่ฟังกันจนเศรษฐกิจเริ่มชะงักงัน ถ้ารัฐบาลยังทำงานแบบที่ผ่านมา คนที่เดือดร้อนลำบากที่สุดคือประชาชนและประเทศไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในการแข่งขันระดับโลกไม่สามารถก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางที่ติดหล่มมากว่า 20 ปี”