“พิชัย” ชี้ขยายกรอบเงินเฟ้อ ประคองเศรษฐกิจ ฝาก 4 การบ้าน แบงก์ชาติ

24 มิ.ย. 2567 | 04:08 น.

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี “พิชัย นริพทะพันธุ์” แนะ ธปท. เร่งขยายกรอบเงินเฟ้อ ประคองเศรษฐกิจให้เกิดการไหลเวียนมากขึ้น ฝาก 4 การบ้าน แบงก์ชาติ ตอบคำถาม-ขับเคลื่อนศรษฐกิจ

นายพิขัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจาก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศมีหลายประเด็นที่น่าจะเข้าใจไม่ตรงกัน ผู้ว่าฯ น่าจะไปศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน เช่น การขยายกรอบเงินเฟ้อ ซึ่งผู้ว่าฯ ธปท. เห็นว่าดีอยู่แล้ว แต่รัฐบาลอยากจะขยายกรอบเงินเฟ้อให้สูงขึ้น 

ทั้งนี้เพราะปีที่แล้วเงินเฟ้อไทย ต่ำลงมากตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2566 เหลือเพียง 0.53% จากเดือนมกราคม 2566 ที่มีเงินเฟ้อสูงถึง 5.02 % และ ต่ำมาตลอดหลังจากนั้นคือ มิ.ย 66 ที่ 0.23% ก.ค. 66 ที่ 0.35% ส.ค. 66 ที่ 0.88% และ ก.ย. 66 ที่ 0.30% จนเงินเฟ้อมาติดลบในเดือนตุลาคม 66 ที่ - 0.31% และ ติดลบต่อไปจนทั้งหมด 6 เดือน คือ พ.ย. 66 - 0.44% ธ.ค.66 ที่ -0.83% ข้ามปีมายังติดลบ ม.ค. 67 ที่ -1.11% ก.พ. 67 ที่ - 0.77% มี.ค. - 0.47% 

ดังนั้นที่เงินเฟ้อมาบวกในเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 1.54% เพราะปีที่แล้วต่ำมากนั่นเอง และเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะบวกไปถึงสิ้นปีถึงต้นปี 68 เพราะมาจากเงินเฟ้อตั้งแต่กลางปีที่แล้วต่ำถึงติดลบนั่นเอง 

ด้วยเหตุนี้กรอบการขยายตัวเงินเฟ้อ จึงควรสูงขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งอย่านำกรอบเงินเฟ้อของประเทศที่พัฒนาแล้วมาใช้กับประเทศกำลังพัฒนาแบบไทย เพราะเทียบกันไม่ได้ อีกทั้งที่ผ่านมากว่า 10 ปี เงินเฟ้อของไทยยังน้อยกว่าเงินเฟ้อของสหรัฐมาก นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ และประเทศในอาเซียนที่ขยายตัวสูงก็มีเงินเฟ้อที่สูงกว่าไทยมาก

นายพิชัย กล่าวว่า อยากให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เงินเฟ้อต่ำ แปลว่า ถ้าต้นทุนสินค้าต้องเพิ่มขึ้นทุกปีตามราคาปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามวัฏจักรของโลกทั้ง วัตถุดิบ ค่าแรง ค่าพลังงาน ค่าขนส่ง ฯลฯ แต่ราคาสินค้าขึ้นราคาไม่ได้ ธุรกิจต่างๆ ก็จะต้องขาดทุน และ ปิดกิจการ ดังจะเห็นได้จากโรงงานจำนวนมากที่ต้องปิดกิจการกันตอนนี้

ดังนั้นการมีกรอบเงินเฟ้อที่จะขยายกว้างจะทำให้เศรษฐกิจไหลเวียนมากขึ้น โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์สภาวะเศรษฐกิจที่มีเงินเฟ้ออ่อน ๆ จะเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่ดีที่สุด แต่ระดับเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วและในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยจะมีลักษณะที่ต่างกัน

นายพิชัย ยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ดีนี่เป็นแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผู้ว่าฯ ธปท.แบงก์ชาติยังไม่ได้ตอบและยังไม่ได้ดำเนินการใน 4 เรื่อง ดังนี้

1. การลดช่องว่างระหว่างเงินกู้-เงินฝากที่กว้างมากทำไห้ธนาคารพาณิชย์กำไรกันมหาศาลทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ ที่ ธปท. สามารถแก้ไขได้แต่ ธปท. โดย คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) กลับไม่ทำ และทำไมถึงไม่ทำ เพราะขนาด นายกฯ ยังทำให้เห็นแล้วว่าทำได้ โดยเรียกธนาคารพาณิชย์มาเจรจาลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงให้เป็นตัวอย่างแล้ว 

2. ทำไมค่าเงินบาทไทยถึงแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่น ทั้งที่ ธปท. พูดเสมอว่า ค่าเงินบาทไทยจะต้องอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง โดยทั้ง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่มีเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูง มีค่าเงินที่อ่อนลงกว่า 30-40% แล้ว แค่ค่าเงินบาทยังแข็งค่าโดยเปรียบเทียบแบบนี้ ประเทศไทยจะแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้อย่างไร 

โดยเฉพาะประเทศมาเลเซียที่เป็นประเทศที่มีรายได้สูงแล้ว ค่าเงินยังอ่อนลงมาก (จากในอดีต 3.8 ริงกิต/ดอลลาร์ เป็น 4.7 ริงกิต/ดอลล่าร์) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ทั้ง Microsoft, Google, ByteDance (TikTok) เข้าไปลงทุนกันมากรายละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช่หรือไม่

3. การเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ธปท. มีแนวทางอย่างไร เห็นแต่ ธปท. มีแต่ดึงสภาพคล่องออกจากระบบ และ ดีใจว่าไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาก แต่สภาพคล่องในประเทศกลับเหือดแห้ง เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาก ธปท. จะมีแผนงานเพิ่มสภาพคล่องและทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้อย่างไร โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จะยากมาก เพราะ ธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยกู้ ธปท. จะแก้ไขอย่างไร 

4. การแก้ไข หนี้ครัวเรือนที่สูง และหนี้เสียที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำมาเป็นเวลานาน ธปท. จะมีแนวทางสนับสนุนรัฐบาลอย่างไร เพราะหนี้เสียจะเป็นระเบิดเวลาที่จะทำให้เศรษฐกิจทรุดหนัก โดย ธปท. จะต้องไม่ลืมบทเรียนสมัยต้มยำกุ้ง จนยังมีหนี้ค้างกันอยู่ในหนี้สาธารณะของประเทศจนถึงทุกวันนี้ และปัญหาหนี้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่งในอนาคต ธปท. จะช่วยกันแก้ไขและป้องกันอย่างไร 

นอกจากนี้ในกรณีที่ สถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD) จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไทยอยู่ในอันดับที่ 25 ขึ้นมา 5 อันดับจากอันดับที่ 30 และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์ แสดงถึงการยอมรับของประเทศไทยในนานาชาติดีขึ้นมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่นายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบผู้นำและนักลงทุนของประเทศต่างๆ 

อย่างไรก็ตามแม้ว่า ความสามารถแข่งขันของประเทศไทย จะดีขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่และยังมีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ต่อไปอีก ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไข ทั้งนี้เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมกันมาเป็นระยะเวลานาน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำมากมาเป็น 10 ปี ทำให้รายได้ของประชาชนไม่เพิ่มแต่รายจ่ายเพิ่ม เป็นผลทำให้หนี้สินพุ่งสูง 

ดังนั้นการจะแก้ไขโดยเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ คงเป็นไปไม่ได้ โดยหนี้ครัวเรือนก็พุ่งเกิน 90% ของจีดีพีแล้วตั้งแต่รัฐบาลเข้ามา ปัจจุบันอยูุ่ที่ 91.3% และ หนี้สาธารณะเดิมก็สูงกว่า 61%แล้ว และ ปัจจุบันสูงถึง 63.78% อีกทั้งปัญหาหนี้เสียในระบบจะมีเพิ่มขึ้นอีกมาก ตามที่เคยเตือนตั้งแต่หลายปีแล้วว่าปัญหาหนี้สินจะเป็นระเบิดเวลาของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นการแก้ปัญหาหนี้สินจึงเป็นเรื่องหลัก และ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายโดยเฉพาะจาก ธปท.