นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Investment Forum 2024 เจาะขุมทรัพย์ลงทุน...ยุคโลกเดือด หัวข้อเรื่อง Thailand Investment Opportunity จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงเป็นขันบันได ซึ่งในปี 2523 เป็นต้นไป จีดีพีประเทศไทย เติบโตโชติช่วงชัชวาล ขยายตัวได้ถึง 7-9% และบางปีขยายตัวด้วยเลข 2 หลัก อย่างไรก็ตาม เรามาสะดุดช่วงต้มยำกุ้ง คือ ปี 2540
“ขอแบ่งจีดีพีเป็นช่วงๆ ในทุกๆ 5 ปี โดยย้อนหลังไป จาก 5 ปีแรก อัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.8% ส่วน 5 ปีถัดมาลดลง เหลือ 3.5% ขณะที่ 5 ปีต่อมา การเติบโตเศรษฐกิจ เหลือเพียง 3% และ 5 ปีสุดท้าย ซึ่งเผชิญโควิด การเติบโตเศรษฐกิจโตเฉลี่ย 0.4% และหลังจากฟื้นตัวจากโควิด ในปี 2566 เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1.9% ส่วนไตรมาสแรกของปี 2567 นี้ เติบโต 1.5% ขณะที่เพื่อนบ้านเศรษฐกิจขยายตัวได้ 5%”
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ ได้ประมาณการณ์ว่าในปี 2567 นี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ประมาณ 2.4-2.5% แต่เรามองว่าหลังจากฟื้นไข้จากโควิด ศักยภาพของประเทศไทย ควรจะขยายตัวได้ 3.5% ฉะนั้น รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจปี 2567 นี้ไปใกล้แตะ 3% ให้ได้ และอยู่ในระดับ 3% ในปีถัดไป
นายพิชัย กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออก และทำให้มีการบริโภค ขณะเดียวกัน ก็มาจากการลงทุนของภาครัฐ และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การส่งออกไม่เหมือนเดิม ซึ่งระดับลดลง จากสัดส่วน 70% ส่วนภาคการผลิตก็ลดลงเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการส่งออกและบริโภคน้อย การผลิตจึงลดลงตามไปด้วย
ขณะที่ประชาชนรายย่อยขณะนี้เผชิญกับสถานการณ์หนี้ครัวเรือนสูง อยู่ที่ 91% ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยมูลค่าอยู่ที่ 19 ล้านล้านบาท ฉะนั้น เฉลี่ยได้ว่าโดยรวมประชาชนไทยมีหนี้รวมกว่า 17 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ค่าบ้าน รถ ค่าบริโภค และค่าบัตร เป็นต้น เมื่อมีหนี้ แล้วใช้หนี้ ก็ไม่มีกำลังบริโภค จึงส่งต่อมาสู่กำลังการผลิต
“กำลังผลิตลดลงเริ่มมีปัญหา เกิดหนี้เสียของประชาชนจากสถาบันการเงินต่างๆ ภาครัฐก็เข้าไปช่วยเหลือ ส่งผลให้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นสูงด้วย หากย้อนไป 8-9 ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะอยู่ที่ 50%ต่อจีดีพี หรือ 5 ล้านล้านบาท ขณะที่ตอนนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 11 ล้านล้านบาท และกำลังจะเพิ่มเป็น 12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 63%ต่อจีดีพี แต่เราจะพยายามให้อยู่ในกรอบเพดานไม่เกิน 70%”
อย่างไรก็ตาม หากต้องการดูแลสัดส่วนหนี้สาธารณะ ต้องหาเงินมาใช้หนี้ แต่เป็นเรื่องที่ยาก เพราะสัดส่วนการจัดเก็บรายได้ก็ต้องเพิ่มขึ้น แต่อีกหนึ่งทางเลือก คือ การขยายให้เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเรามองว่าควรใช้ทางเลือกนี้ ทำให้เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ขึ้น สู้กับชาวโลก และแข่งขันได้ แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาทางด้านโครงสร้าง ประชากรที่เข้าสู่สูงวัย ฉะนั้น ต้องมีการดูแลเรื่องนี้
นอกจากนี้ ปัญหาเร่งด่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะต้องดูแลในระยะสั้น คือ การช่วยให้ประชาชนรายย่อย และเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งขณะนี้คนที่ไม่มีเงินประสบปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยยังสูงอยู่ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ดูแลลูกค้าแบ่งเป็น 2 ตลาดโดยชัดเจน ซึ่งลูกค้ารายกลางรายเล็กที่ไม่มีโอกาสเข้าตลาดทุน อีกทั้งยังได้รับการคิดอัตราดอกเบี้ยสูง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลทำได้ คือ การใช้แบงก์รัฐ ซึ่งเร็วๆ จะดำเนินการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน 1 แสนล้านบาท เพื่อไปปล่อยต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ ในอัตราดอกเบี้ย 3.5% ส่วนที่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5% เป็นต้น
นอกจากนี้ จะเข้าไปดูผู้ที่เป็นหนี้เสีย มูลหนี้หลัก 2,000-3,000 บาท ซึ่งอยู่ในประวัติเครดิตบูโร โดยในช่วงปลายปีนี้จะมีลูกหนี้หลุดมาจำนวน 2 ล้านคน รัฐบาลก็จะเข้าไปดูแล ใช้งบประมาณวงเงิน 7,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จะให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดูแลเรื่องการค้ำประกันสินเชื่ออีกช่องทางหนึ่ง วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ส่วนระยะต่อไปจะมีการดูแลเรื่องบ้าน และสินเชื่อรถยนต์ด้วย ขณะที่การแก้ปัญหาระยะยาว เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องดูแลต่อไป ยอมรับว่า อาจจะมีผลต่อหนี้สาธารณะ แต่จะไม่เกิน 70%ต่อจีดีพี