คลังเผยเศรษฐกิจไทยเดือนมิ.ย. “บริโภค-ลงทุน” หดตัว

29 ก.ค. 2567 | 08:25 น.
อัพเดตล่าสุด :29 ก.ค. 2567 | 08:39 น.

คลังเผยเศรษฐกิจไทยเดือนมิ.ย.67 “บริโภค-ลงทุน” หดตัวจากเดือนก่อนหน้า ฝั่งท่องเที่ยวโตต่อเนื่อง พร้อมจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การบริโภคสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนยังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศ และปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -1.5 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -1.8 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -14.7 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -4.7

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนมิถุนายน 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 58.9 จากระดับ 60.5 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น  อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนมิถุนายน 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 5.9

ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากสะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -3.2 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -7.7

ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -25.3 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -7.5

สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -6.5 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -0.5

ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -18.7 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -5.8

มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 24,796.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -0.3 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ

และยุทธปัจจัย พบว่า หดตัวที่ร้อยละ -1.6 ตามการลดลงของสินค้าน้ำตาลทราย ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง และหมวดเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ โดยหดตัวที่ร้อยละ -51.9 -37.8 และ -24.2 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี สินค้าข้าว ยางพารา เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ร้อยละ 96.6 28.8 22.0 และ 20.1 ตามลำดับ

นายพรชัย กล่าวว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนมิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.74 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 22.3 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 1.9

“ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และ สปป. ลาว ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนมิถุนายน 2567 จำนวน 21.1 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 10.2 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 5.6”

ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 0.62 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.36 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 64.3 ต่อ GDP1 ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 224.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ