KEY
POINTS
เคยสงสัยไหมว่าทำไมประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งถึงเปิดรับ ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex อย่างเต็มตัว หลายคนอาจนึกถึงภาพคาสิโนหรูหรา แสงสีเสียงตระการตา แต่ความจริงแล้ว ซ่อนกลไกที่ซับซ้อนและน่าสนใจมากกว่านั้น ลองมาดูกันว่าทำไมธุรกิจนี้ถึงได้รับความนิยมในประเทศพัฒนาแล้ว
เหตุผลก็เพราะว่าประเทศเหล่านี้มีระบบกฎหมายที่ครอบคลุมและเข้มงวด ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่อนุญาต แต่รัฐบาลยังมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลและได้รับผลประโยชน์โดยตรง มีการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไปทำโครงการเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) อย่างจริงจัง
องค์กรการกุศลและรัฐบาลท้องถิ่นได้รับส่วนแบ่งรายได้ ทำให้เกิดการพัฒนาในระดับชุมชน สถานบันเทิงครบวงจรกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้มหาศาล นอกจากการจ้างงานโดยตรง ยังกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ในโลกของความบันเทิงและการท่องเที่ยว ธุรกิจสถานบันเทิงแบบครบวงจรมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของหลายประเทศ แต่ละประเทศมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่า 5 ประเทศพัฒนาเเล้วมีแนวทางอย่างไร
สหรัฐฯ แดนเสรีภาพแห่งการพนัน
สหรัฐเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในด้านกฎหมายการพนัน โดย 38 มลรัฐอนุญาตให้มีการประกอบธุรกิจกาสิโน ยกเว้นฮาวายและยูทาห์ที่ห้ามการพนันทุกรูปแบบ การพนันที่ถูกกฎหมายในสหรัฐฯ แบ่งเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ กาสิโนเชิงพาณิชย์ การพนันเพื่อการกุศล สลากกินแบ่ง การพนันของชนพื้นเมืองอินเดียนแดง และการพนันทายผลการแข่งขัน
จัดเก็บรายได้จาก Entertainment Complex
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีรายได้เฉลี่ยจากธุรกิจการพนันสูงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยแบ่งเป็น
ยังมีกฎหมายพิเศษสำหรับชนพื้นเมืองอินเดียนแดง ที่อนุญาตให้ประกอบธุรกิจการพนันในพื้นที่ของตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชนเผ่า
การพนันในออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม โดยเฉพาะเครื่องเล่นเกมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Gaming Machines: EGMs) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การบริหารนโยบายควบคุมธุรกิจการพนันอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลในแต่ละรัฐ
จัดเก็บรายได้จาก Entertainment Complex
รัฐบาลกลางของออสเตรเลียออกกฎหมายควบคุมการพนันออนไลน์ในปี 2544 เพื่อควบคุมธุรกิจการพนันออนไลน์และคุ้มครองประชากรออสเตรเลีย การจัดเก็บภาษีจากธุรกิจกาสิโนขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐ โดยบางรัฐสามารถจัดเก็บได้สูงถึง 65% ของรายรับ
เดนมาร์ก ประเทศเล็กแต่กาสิโนเยอะ
แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่เดนมาร์กมีกาสิโนถึง 6 แห่ง ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศ โดยมี The Danish Gambling Authority ทำหน้าที่ควบคุมและดูแลกฎหมายเกี่ยวกับการพนัน
จัดเก็บรายได้จาก Entertainment Complex
ธุรกิจการพนันในเดนมาร์กแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ การพนันทั่วไป กาสิโนออนไลน์ เครื่องเล่นเกม และกาสิโนบนบก โดยมีการจัดเก็บภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทธุรกิจ ตั้งแต่ 20% ถึง 75 % ของรายรับ
อังกฤษ วัฒนธรรมการพนันที่ยาวนานกว่าศตวรรษ
การพนันในอังกฤษถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมากกว่า 100 ปี โดยแบ่งประเภทของการพนันเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ เกมพนัน การเดิมพัน และลอตเตอรี่ ปัจจุบันอังกฤษมีกาสิโนทั้งหมด 156 แห่ง
จัดเก็บรายได้จาก Entertainment Complex
การพนันในอังกฤษอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Gambling Commission
สิงคโปร์ น้องใหม่ที่มาแรง
สิงคโปร์อนุญาตให้มีธุรกิจกาสิโนที่ถูกกฎหมายครั้งแรกในปี 2553 โดยมีเพียง 2 แห่ง คือ Resorts World Sentosa และ Marina Bay Sands และมีนโยบายควบคุมจำนวนไว้เพียงเท่านี้จนถึงปี 2573
จัดเก็บรายได้จาก Entertainment Complex
สิงคโปร์มีมาตรการพิเศษสำหรับพลเมืองของประเทศ โดยต้องเสียค่าเข้ากาสิโนในอัตรารายวันหรือรายปี เพื่อป้องกันปัญหาการติดพนัน
แม้จะเพิ่งเริ่มอนุญาตให้มีกาสิโน แต่สิงคโปร์สามารถส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างมาก โดยในช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 Marina Bay Sands เคยเป็นรีสอร์ทกาสิโนที่ทำกำไรมากที่สุดในโลก
รัฐบาลสิงคโปร์จัดเก็บภาษีจากธุรกิจการพนันในอัตรา 22% ของรายรับ และคาดว่าอุตสาหกรรมกาสิโนในสิงคโปร์จะฟื้นตัวในปี 2568
จากตัวอย่างของ 5 ประเทศข้างต้น เห็นได้ว่าแต่ละประเทศมีวิธีการจัดการกับธุรกิจการพนันและสถานบันเทิงแบบครบวงจรที่แตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมที่สำคัญคือ การควบคุมอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาล การจัดเก็บภาษีในอัตราสูง และการจัดสรรรายได้บางส่วนเพื่อประโยชน์ของสังคม
ข้อมูลอ้างอิง