เอกชนต่อแถวหารือ "แพทองธาร" แก้วิกฤตเศรษฐกิจ ส.อ.ท.ชี้ SMEs อาการหนัก

22 ส.ค. 2567 | 06:59 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ส.ค. 2567 | 08:08 น.

เอกชนต่อแถวหารือ "แพทองธาร" แก้วิกฤตเศรษฐกิจ ส.อ.ท.ชี้ SMEs อาการหนัก ระบุรัฐบาลต้องทำให้ต้นทุนเอสเอ็มอีลดลง ดันเข้าถึงแหล่งทุน หลังธนาคารพาณิชย์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ

วันพรุ่งนี้ (23 ส.ค. 2567) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย มีนัดหารือกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนนโยบายร่วมกันที่ อาคารชินวัตร เวลา 10.00 น.  

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า  ส.อ.ท.ได้ขอเข้าพบกับนางสาวแพทองธาร เพื่อร่วมนำเสนอแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดย ส.อ.ท. พร้อมคณะกรรมการบริหาร จะเริ่มหารือในเวลา 11.00 น.

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเร่งด่วน ซึ่งส.อ.ท. ได้เน้นย้ำเสมอและไม่เปลี่ยนจากเดิม ประกอบด้วย

  • นโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าไฟและน้ำมัน รวมถึงค่าแรงที่กำลังจะปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศ ในวันที่ 1 ต.ค. 2567 นี้ สิ่งดังกล่าวเหล่านี้หวังว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้ต้นทุนเหล่านี้ต่ำลงและสามารถแข่งขันได้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบที่ยังคงสูงมาก

เกรียงไกร  เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

  • เงินทุน ปัจจุบันเอสเอ็มอีกำลังขาดออกซิเจน คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ หลายธนาคารได้ประกาศลดเป้าหมายของการปล่อยสินเชื่อ และมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเม็ดเงินที่จะปล่อยได้ถูกจำกัดและลดลงไปอีก ดังนั้น จึงไม่สอดคล้องกับความต้องการที่มหาศาล รัฐบาลต้องหาเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเติมเงินเข้าไปให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งเงิน ที่นอกจากธนาคารพาณิชย์แล้วจะต้องมีกลไกอื่นมาเติมให้สู้ต่อไปได้
  • สินค้าราคาถูกต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาด โดยขณะนี้เท่าที่ทราบว่า พบว่าสินค้าราคาถูกได้ทะลักมาทุกทิศทุกทาง จนท่วมตลาดทั้งในไทยและภูมิภาค ส่งผลให้เอสเอ็มอีไทยแข่งขันไม่ได้ ต้องปิดกิจการมากมาย ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.- พ.ค. 2567) ปิดกิจการไปแล้ว 667 แห่ง เป็นขนาดมูลค่ากิจการที่ 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นกิจการของคนไทยเกือบ 100% ขณะที่โรงงานที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ขอการสนับสนุนจากบีโอไอ (BOI) และส่วนใหญ่เป็นต่างชาติเกือบทั้งหมดที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 140 ล้านบาท
     

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า มาตรการที่รัฐบาลจะป้องกัน ต้องดีพอและตรวจตั้งแต่การนำเข้า มีการตรวจสอบ 100% ทำตามกฎเกณฑ์ที่อยู่ในขอบเขตและต้องทำอย่างเต็มที่ จะต้องระมัดระวังไม่ใช่ไปจ้องทะเลาะ ทำตามมาตรฐานสากลทั่วโลกที่มีเกณฑ์อยู่แล้ว เหมือนเวลาที่ประเทศไทยส่งสินค้าจากไทยไปจีน ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นที่เข้าตรวจในตู้คอนเทนเนอร์ของทางเข้าที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งไทยตรวจต่ำกว่ามาตรฐานมาก

"การสกัดสินค้าด้อยคุณภาพเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ได้เร่งดำเนินการก่อนจะถูกตัดสินให้พ้นเก้าอี้นายกฯ โดยเรียกกระทรวงและหนวยงานต่าง ๆ ที่กำกับดูแล ให้เร่งแก้ปัญหา หวังว่ารัฐบาลจะทำต่อและต้องรีบเร่งกว่าเดิม"

สำหรับการแก้ปัญหาระยะกลาง และยาวมีหลายเรื่องที่ต้องทำ เช่น การศึกษา ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม แก้กฎหมายเพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น และการสร้างบุคลากร ที่ต้องเดินต่อ เพราะที่ผ่านมาช้าเกินไปแล้ว