นายคริส ฮัมฟรีย์ กรรมการบริหารสภาธุรกิจ สหภาพยุโรป-อาเซียน เปิดเผยในงานสัมมนา “ASEAN Economic Outlook 2025 : The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity” ช่วงเสวนา หัวข้อ Geopolitics in the Modern wOrld : Powers, Resources and Global Trade Wars จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทั้งปัญหาอิสราเอลในตะวันออกกลาง การรุกรานยูเครนของรัสเซีย และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ เป็นความเสี่ยงของภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเผชิญกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเกิดการรวมกลุ่มและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ โดยเป็นไปตามที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเอาไว้ เรื่องความจำเป็นในการรวมกลุ่มของอาเซียน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวผ่านช่วงเวลาผันผวนและอันตรายของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ยังคงน่าหวาดหวั่นที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นในตะวันออกกลาง หากอิสราเอลต้องเจอกับการปะทะที่รุนแรงขึ้น ย่อมกระทบราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปสูงทะลุเพดาน ขณะที่การเดินเรือก็อาจต้องชะงัก
ขณะที่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือกระจายการผลิตในซัพพลายเชนไปมากแค่ไหนก็ย่อมได้รับผลกระทบ ดังนั้นการรวมกลุ่มกันในภูมิภาคจะสร้างความเข้มแข็งและลดความเสี่ยงได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งเกิดขึ้นและเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ก็อาจทำให้เห็นบริษัทใหญ่เลือกที่จะยับยั้งการขยายการลงทุนใหม่ ซึ่งจะต้องเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจในภาพรวมจะขยายตัวได้ลดลง
นายคริส ฮัมฟรีย์ กล่าวอีกว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนจำเป็นต้องมีการปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกัน ลดอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และการเพิ่มการค้าขายเพื่อลดการเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องหลีกเลี่ยงคือ นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมซึ่งอาจทำให้การแข่งขันและการเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก การลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานดำเนินไปอย่างราบรื่น ทำให้เกิดการไหลเวียนของสินค้าและบริการ รวมทั้งการลงทุนในด้านการศึกษาเพื่อเตรียมรับกับตลาดแรงงานในอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน