นายจุลพันธ์ อมรวิวิฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น คาดว่าจะนัดประชุมครั้งแรกเร็วๆ นี้ ซึ่งยังต้องรอให้ ทางนายกฯ เป็นผู้กำหนดวันและวาระการประชุมดังกล่าวอีกครั้ง
สำหรับกระทรวงการคลัง ก็ได้เตรียมพร้อมในหลายเรื่อง โดยอันดับแรกคือ การเดินหน้าโครงการโอนเงิน 10,000 บาทผ่าน ดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งอาจจะต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขึ้นมาใหม่
ทั้งนี้ ยอมรับว่า โครงการแจกเงิน 10,00 บาท เฟสที่ 2 นั้น ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งเครื่องทางการคลังไปหนักพอสมควร ก็อาจจะใช้มาตรการกระตุ้นในระดับที่เหมาะสม โดยจะต้องดูว่าเม็ดเงินมีเท่าไหร่ และยอดคนลงทะเบียนเท่าไหร่ ถ้าอยู่ในระดับที่ทำได้ทั้งหมด รัฐบาลก็จะดำเนินการในครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ถ้าจำนวนประชาชนที่เหลืออยู่ ยังขาดงบประมาณในการดูแลอีกเยอะ ต้องหาเงินจากที่อื่น ซึ่งอาจจะกระทบกระบวนการงบประมาณ หากเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะมีการพิจารณาเรื่องการแบ่งโครงการแจกเงินดิจิทัล เป็นเฟสย่อยไปอีก อาจจะเป็นเฟส 2 และเฟส 3
“ที่ว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,00 บาท จะมีเฟสที่ 2 และเฟส 3 นั้น ไม่ถึงขั้นการทยอยจ่าย หรือแบ่งการแจกเงินเป็นงวดๆ ทั้งนี้ จะต้องมีการนำเสนอในคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าสุดท้ายได้เงิน ครบ 10,000 บาททุกคนแน่นอน”
ส่วนต่อมาที่จะมีการหารือในที่ประชุม คือ มาตรการต่างๆ อาทิ มาตรการฟื้นฟูผู้ประสบปัญหาอุทกภัย มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในวาระการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอ โครงการเราเที่ยวด้วยกันนั้น จะต้องรอให้กระทรวงการท่องเที่ยวสรุปรายละเอียด ว่าจะมีกลไกอย่างไร ใช้งบประมาณเท่าไหร่ ถ้าใช้มาก จะใช้งบกลางไหวหรือไม่ หรือต้องหาเงินเพิ่มเติมจากช่องทางอื่นๆ ก็ทำได้ หรือกรณีใช้เงินน้อย ใช้แค่การบริหารจัดการในกระทรวงการก็ดำเนินการได้
“รัฐบาลก็มีการพูดคุยถึงมาตรการหลายตัว ซึ่งก็ต้องดูมาตรการที่มีความเหมาะสม ซึ่งเวลาทำมาตรการทุกฝ่ายต่างก็อยากให้เกิดขึ้นเร็วอยู่แล้ว ถ้าทำให้เกิดช่วงปลายปีนี้ได้ จากที่กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโต 2.7% ก็อาจจะทำให้ขยายไปแตะ 2.9%หรือเจอจังหวะที่ดีอาจจะไปได้มากกว่า 3% ซึ่งส่งผลถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่ดี“