วันนี้ 3 ธันวาคม 2567 นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย ให้ความเห็นถึงแนวนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่จะมีผลกระทบกับไทยว่า เมื่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตัวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 20 มกราคม 2568 ต้องจับตาดู นายทรัมป์ วางนโยบายกีดกันทางการค้าด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากจีน 60% และ ประเทศอื่นๆที่สหรัฐฯเสียเปรียบทางการค้า 10% อย่างที่ประกาศไว้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯหรือไม่ เพราะหาก นายทรัมป์ เพิ่มกำแพงภาษีจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน
ถ้าดูสถิติทางการค้าของกระทรวงพาณิชย์พบว่าสหรัฐฯเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยรองจากจีน แต่ถ้านับเฉพาะส่งออกไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นเวลา 10 ปีเต็มๆ โดยเมื่อปี2566 ไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯรวมมูลค่ากว่า 48,000 ล้านบาท นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 19,000 ล้านบาท ได้เปรียบดุลการค้าราว 29,000 ล้านบาท ล่าสุดปีนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคม ไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯมูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาทนำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 13,000ล้านบาท 7เดือนแรกของปีนี้ได้ดุลการค้าไปแล้ว กว่า 22,000 ล้านบาท
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ใน5อันดับแรกได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบอย่างเช่นแผ่นวงจรพิมพ์หรือพีซีบี ( Printed Crcuit Board ) ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หม้อแปลงไฟฟ้า
นายฐากร กล่าวว่า หากนายทรัมป์ใช้แนวนโยบายการตั้งกำแพงภาษีอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งจริง จะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสินค้าไทยจะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นนอกจากนี้แล้ววัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ไทยนำเข้าจากจีนเพื่อนำมาผลิตอาจขาดแคลนเพราะสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีกับจีนสูงมาก
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯกับจีนมีปัญหาทางการค้ามาโดยตลอดเพราะจีนได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯมายาวนาน เมื่อปี 2561 จีนได้ดุลการค้าสหรัฐฯราว 590,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาถึงปี2565 จีนได้เปรียบดุลการค้าเพิ่มขึ้นถึง 970,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ
“สหรัฐฯพยายามแก้ปัญหาดุลการค้าที่เสียเปรียบจีนอย่างมากโดยใช้วิธีตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งนำไปสู่สงครามการค้าเพราะจีนก็ใช้วิธีตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน มีผล|กระทบกับไทยด้วย อย่างเช่นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมารัฐบาลนายโจ ไบเดนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์ยี่ห้อทรินา โซลาร์ซึ่งเป็นยี่ห้อของจีนแต่ผลิตในไทยสูงถึง77.85เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างป้องกันการทุ่มตลาดและถือเป็นการตอบโต้ของสหรัฐฯด้วยการขึ้นภาษีแผงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นครั้งที่สอง”นายฐากรกล่าว
นายฐากรกล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปและเชื่อว่าเป็นไปอย่างยืดเยื้อส่งผลกระทบเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนายทรัมป์ใช้นโยบายตั้งแต่กำแพงภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง60เปอร์เซ็นต์อย่างที่หาเสียงไว้ อุตสาหกรรมของจีนเกิดภาวะระส่ำปั่นป่วนและส่งผลกระทบถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายฐากร กล่าวว่า การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯจะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจไทยเป็นลูกโซ่ อาทิเช่น แผ่นวงจรพิมพ์ที่เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสารจะมีราคาแพงขึ้น ปัจจุบันพีซีบีมียอดส่งออกเฉลี่ยปีละ 150,000 ล้านบาท และกระทรวงพาณิชย์เร่งส่งเสริมการลงทุนผลิตพีซีบี ถ้าพีซีบีมีต้นทุนแพงกว่าเดิมอาจจะทำให้การลงทุนเกิดปัญหาชะงักชะงันตามมา
“ผมเสนอให้รัฐบาลเร่งกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับสงครามการค้ารอบใหม่ก่อนประธานาธิบดีทรัมป์รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการไทยว่า การค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกายังเดินหน้าไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆเกิดขึ้น”นายฐากรกล่าว