ที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย (The Federation Thai SME) ถนนประชาชื่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย รศ.พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง กรรมการบริหารพรรค เดินทางไปร่วมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยมีนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และผู้บริหารสมาพันธ์ร่วมประชุมพูดคุยและบรรยายให้ข้อมูล
นายแสงชัย กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอี ถือว่าเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพราะมีจำนวนมาก ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากตามไปด้วยตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กที่มีแรงงานตั้งแต่ 1-2 คนไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการจ้างแรงงานถึง 300 – 400 คน
ดังนั้น จึงถือว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก แต่ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ประสบปัญหามากมาย แม้ว่าจะเคยมีการสนับสนุนจากทางภาครัฐ แต่ส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือแบบไม่ยั่งยืน ทำให้ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนกันเอง หลายปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข
โดยเฉพาะการเข้าไม่ถึงการสนับสนุนของภาครัฐจนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำที่สร้างความลำบากให้กับผู้ประกอบการ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจใหญ่มีโอกาสและช่องทางในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวต่อว่า สิ่งที่สมาพันธ์ฯ ได้รับข้อร้องเรียนจากสมาชิกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีหลายประเด็น หลักๆ คือเรื่องของการเข้าถึงแหล่งทุนในการประกอบธุรกิจ เนื่องจากมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถเข้ากฎเกณฑ์ของธนาคาร หรือกองทุนต่างๆ จนต้องหันไปใช้หนี้นอกระบบกลายเป็นภาระที่ไม่สามารถรับได้ ส่งผลมาถึงเรื่องความสามารถของการชำระหนี้
และยิ่งเมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงโรคโควิด 19 หรือปัจจัยเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ก็ยิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาอื่นๆ อีก อาทิ ขาดโอกาสทำพลังงานทางเลือกอื่นๆ แทนการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ซึ่งปัจจุบันโอกาสส่วนใหญ่อยู่ที่ทุนขนาดใหญ่เท่านั้น ขอให้เพิ่มการส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอสเอ็มอี ให้มีโอกาสเติบโตในตลาดโลก
โดยหน่วยงานด้านการพัฒนา และหน่วยงานทางการเงินควรทำงานร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกกับเอสเอ็มอี รวมทั้งควรมีการปรับปรุงกฎหมาย ลดข้อจำกัดต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และขอให้พิจารณาอัตราภาษีที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างทุนขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี เป็นต้น
ด้านนายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ในการมาร่วมพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในวันนี้ เพราะต้องการรับทราบข้อมูล ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งได้รับทราบข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ ตนจะได้นำกลับไปเร่งหาแนวทางในการให้การทำงานเพื่อช่วยเหลือแก้ไข ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถยืนหยัดทำธุรกิจไปได้
จากที่ฟังข้อมูลก็พบว่าประเด็นปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งอยู่ที่เรื่องของข้อจำกัดหลายอย่างที่เกิดจากเงื่อนไขทางกฎหมาย ที่มีกฎเกณฑ์ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ กับกลุ่มเอสเอ็มอี
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ตรงกับแนวทางการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่แล้ว ที่มุ่งหวังจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชัดเจนต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
ทุกอย่างอยู่ที่กฎหมาย เพราะทุกประเทศในโลกในระบอบประชาธิปไตยต้องใช้กฎหมาย และกฎหมายคือตัวที่จะทำให้ประเทศเจริญหรือไม่เจริญ ไม่ใช่ผมเป็นนักกฎหมายแล้วบ้ากฎหมาย แต่ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ เพราะว่านักเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ต่างๆ ที่คิดอะไรขึ้นมา
แต่สุดท้ายถ้ากฎหมายไม่แก้ให้ตามที่คิดก็ทำไม่ได้ หรือถ้าแก้มาไม่ตรงกับตามที่คิด ก็ผิดอีก ทุกอย่างต้องบริหารให้ตรงกับกฎเกณฑ์กติกา ผมเชื่อว่าถ้าเราปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคหลายอย่าง จะทำให้สังคม กิจการต่างๆ ไปได้ดี สำคัญคือคนเขียนกฎหมายต้องเข้าใจ และต้องไม่เขียนกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ต้องเขียนเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ตนเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในตลอดช่วงเวลาที่ทำงานมากว่า 30 ปี จนถึงวันนี้ที่ได้มาทำพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคก็มีแนวทางที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาของสังคมทุกเรื่อง ตั้งแต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ชาวบ้านธรรมดา และผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงในสังคม
ตอนนี้ทางพรรคเองได้ทำงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการร่างกฎหมาย และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ หลายกฎหมายได้ร่างเสร็จ ความตั้งใจของพรรคคือพร้อมที่จะเสนอกฎหมายเข้าสภาทันที ไม่ต้องรอการเขียนกฎหมายอีกรอเพียงการมืโอกาสเสนอเข้าไปรับรองในสภาฯ เท่านั้น
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างในบ้านเมืองเราปลดล็อกได้ด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้นผมจะรับแนวทางข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบเพื่อที่จะให้กลุ่มเอสเอ็มอีมีโอกาสเติบโต และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตต่อไปได้ อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่เชื่อในการเป็นที่หนึ่งในประเทศไทยคนเดียว แต่ผมอยากให้ทุกคนเป็นที่หนึ่งได้อย่างเท่าเทียมกัน” นายพีระพันธุ์ กล่าว