นายรัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริหารสินค้า เพาเวอร์ มอลล์ บริษัทเดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า “ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 67 เริ่มส่งสัญญาณบวกและมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น อย่างไตรมาส 1 มีปัจจัยนโยบาย Easy e-Receipt ดันรายได้โต Double Digits ตามติดด้วยหน้าร้อนในช่วงไตรมาส 2 ที่ดันยอดขายเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลม เติบโตขึ้น ช่วงไตรมาส 3 หดตัวลงมาแต่คาดว่าอานิสงค์ของฤดูกาลกีฬาอย่างฟุตบอลยูโรและโอลิมปิกจะดันให้ยอดขายกระเตื้องขึ้น ถึงแม้สัญญาณดังกล่าวจะส่งผลเป็นบวกคาดกว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้จะโตอยู่ที่ 20% ถึงแม้สัญญาณจะเป้นบวกแต่ฤดูร้อนที่แตะ 40 องศาและยาวนานกว่าปีก่อนอย่างน้อยตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าต้องโตกว่า 40% เป็นอย่างต่ำ”
นอกจากนี้ถึงแม้ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่กำลังซื้อหดตัวอย่างเห็นได้ชัด เพาเวอร์ มอลล์เองไม่หวั่น เนื่องจากเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสะท้อนจากสัดส่วนยอดขายที่เพิ่มขึ้นของเพาเวอร์ มอลล์ ในช่วง 4 เดือนแรกที่มีตัวเลขโดยรวมเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว ทั้งนโยบาย Easy E-receipt ที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี การท่องเที่ยวที่เติบโตมากขึ้น และสภาวะอากาศร้อนที่เป็นปัจจัยกระตุ้นตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องความเย็น
ซึ่งเพาเวอร์ มอลล์ ก็มีตัวเลขโดยรวมเติบโตมากกว่าตลาดปีที่ผ่านมา โดยเครื่องปรับอากาศโตขึ้น 45%, พัดลมโตขึ้น 32% , กลุ่มมือถือโตขึ้น 78% , กลุ่มทีวีไซส์ใหญ่โตขึ้น 20% , กลุ่มเครื่องซักผ้าโตขึ้น 10% ประกอบกับแบรนด์ผู้ประกอบการต่างส่งไลน์อัพสินค้าใหม่ลงตลาดเต็มทุกเซ็กเมนต์ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่กระตุ้นการจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในปีนียังมี 2 งานใหญ่ กับ 2 มหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างฟุตบอลยูโร 2024 ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฏาคม 2567 ตามด้วยกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่จัดตั้งแต่วันที่ 26 กรกฏาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 จึงคาดว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มทีวีและเครื่องเสียงจะคึกคักมากยิ่งขึ้น
นายรัชตะ กล่าวเสริมว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่ากว่า 2 แสนล้านนั้น โดยปกติตลาดรวมจะต้องโตกว่า 30-40% ต่อปี แต่ปีนี้คาดจะโตอยู่ที่ 20% ทำให้เมื่อตลาดโตไม่ตามเป้า ต้องรุกเรื่องโปโมชั่นและปรับไลน์อัพสินค้าให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภค อย่างเครื่องปรับอากาศมีดีมานต์สูง เพาเวอร์ มอลล์จึงเพิ่มพื้นที่ขายขายให้ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มสินค้าแบรนด์จีน 3 แบรนด์เพื่อดึงฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ยังเดินหน้ารุกตลาด“เพาเวอร์ มอลล์ อิเล็คทรอนิก้า โชว์เคส” ในปีนี้ ซึ่งเป็นมหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าของเมืองไทย ในช่วงกลางปี ของเพาเวอร์ มอลล์ ที่ลูกค้ารอคอย ถือเป็นจังหวะสำคัญในการสร้างยอดขาย และรองรับความต้องการซื้อที่สูงขึ้น เพาเวอร์ มอลล์ จึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำมากกว่า 200 แบรนด์ รวบรวมหลากหลายกลุ่มสินค้าทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน , ทีวี & ออดิโอ , โมบาย & ไอที & เกมส์, แกดเจ็ต และสินค้าสุขภาพและไลฟ์สไตล์ มานำเสนอให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “THE ULTIMATE RACE OF INNOVATION” รวมที่สุดแห่งสินค้าเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และยิ่งกว่านั้นช่วงเวลานี้ยังมีมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ซึ่งจะเป็นการผลักดันยอดขายมากยิ่งขึ้น พร้อมเป็นเวทีให้แบรนด์ต่างๆ ได้ร่วมแสดงนวัตกรรมแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุด, สินค้านำเทรนด์ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทั้งฟังก์ชั่น AI หรือการสั่งงานผ่านอินเทอร์เน็ต-สมาร์ทโฟน, Wellness & Healthy Lifestyle, และ Sustainability รับเทรนด์มาแรง รวมถึงสินค้าที่จะมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่โซน POWER MALL FIRST พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์
สำหรับทิศทางของ เพาเวอร์ มอลล์ ในปีนี้ เรายังคงเดินหน้าร่วมมือกับผู้ประกอบการแบรนด์นำสินค้ารุ่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมี่ยมเพิ่มมากขึ้น, เน้นกลุ่มสินค้าฟังก์ชั่น AI เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ มาพร้อมความหลากหลายของกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ครบครัน รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีแบบครบทุกมิติ, กระตุ้นกำลังซื้อผ่านโซนไฮไลท์ ที่จัดเป็นหมวดสินค้าอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความสะดวกในการช้อปปิ้งของลูกค้า โดยเน้นสินค้ากลุ่มระดับกลาง-บน (Mid to High) รองรับความต้องการกลุ่มกำลังซื้อสูงที่ขยายตัว, เร่งขยายฐานลูกค้ารุ่นใหม่ พร้อมสต๊อกสินค้าเพิ่มเติมรับมือดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถปิดยอดขายของ POWER MALL จนถึงสิ้นปี เติบโตกว่า 20 - 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน นายรัชตะกล่าวปิดท้าย