นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ได้บันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยการทำงานของอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังสือ ภายใต้ THACCA และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมจัดงาน ภายใต้ธีม “อ่านกันยันโลกหน้า” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ตั้งแต่วันที่ 10-20 ตุลาคม 2567
ทั้งนี้พบว่า มีนักอ่านและผู้สนใจทั้งชาวไทยและต่างชาติสนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 1.4 ล้านคน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เติบโตสูงกว่าจีดีพีประเทศ พร้อมกันนี้ยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่
โดยในวันที่ 19 ตุลาคม 2567 เพียงวันเดียว มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 2.3 แสนคน จากสถิติเดิมสูงสุด 1.6 แสนคน คาดเงินสะพัดสูงสุดกว่า 100 ล้านบาท มากที่สุดตั้งแต่จัดงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติมาหลังจากโควิด-19 ระบาด
ทั้งนี้ พบว่า สำนักพิมพ์ที่เปิดตัวหนังสือปกใหม่ ต่างได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากผู้ที่ซื้ออ่านและผู้ที่ซื้อสะสม รวมถึงนักเขียนต่างชาติก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านสูงเช่นกัน
นายสุวิช กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งความสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของสำนักพิมพ์ต่างๆ อาทิ การจัดโปรโมชั่นลดกระหน่ำ, แจกไอเทมพรีเมี่ยม การจัดกิจกรรม "หยิบฟรีไม่อั้น" บุฟเฟ่ต์เต็มถุงในราคา 199 บาท, 579 บาท และ 699 บาท หนังสือใหม่ ชั่งกิโลขาย ขีดละ 10 บาท ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
เห็นได้จากยอดจองคิวผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งการจองคิวเข้าร่วมซื้อที่หน้าบูธต่างๆ เป็นต้น ถือเป็นแรงดึงดูดให้นักอ่านและผู้สนใจเข้ามาร่วมงานมากขึ้น ซึ่งการจัดงานครั้งนี้พบว่ามียอดการซื้อหนังสือเฉลี่ย 600 บาทต่อคน ขณะเดียวกันพบว่ามีนักอ่านและผู้สนใจจำนวนมากที่มาร่วมงานมากกว่า 1 ครั้ง
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือว่า สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเริ่มฟื้นตัว ขณะที่หลายคนมองว่าหนังสือไม่ใช่ปัจจัย 4 แต่จากสถานการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นว่า นักอ่านจำนวนมากยังชื่นชอบการอ่านหนังสือ และยังต้องการเลือกซื้อหนังสือเล่มโปรด พร้อมกับมาร่วมกิจกรรมเพื่อได้พบกับนักเขียนคนโปรด และได้รับไอเทมพิเศษภายในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติครั้งที่ 29 นอกจากนี้จากกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่ออุตสาหกรรมหนังสือเมืองไทยที่มีมูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้นด้วย และส่งผลให้คนไทยมีสถิติการอ่านที่สูงขึ้น จากงานวิจัยล่าสุด ในปัจจุบันที่พบว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 113 นาทีต่อวัน”
ทั้งนี้คนรุ่นใหม่หันกลับมาอ่านหนังสือมากขึ้นถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมหนังสือในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการอ่านของคนไทยในยุคดิจิทัลที่มีการเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นผ่านทางอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์
อย่างไรก็ดีการอ่านหนังสือไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความรู้และทักษะ แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักอ่านกับนักเขียนและสำนักพิมพ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาวงการหนังสือในประเทศไทยให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
จากความสำเร็จในครั้งนี้ สมาคมมีแนวคิดในการขยายพื้นที่จัดงานในครั้งต่อไป โดยจะขยายเพิ่มอีก 1 ฮอลล์ หรือประมาณ 5,000 ตร.ม. ส่งผลให้มีพื้นที่จัดงานเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ตร.ม. จากเดิมที่มีอยู่ราว 20,000 ตร.ม. ซึ่งจะทำให้สำนักพิมพ์ต่างๆ สามารถเข้าร่วมออกบูธได้มากขึ้น และมีหนังสือออกวางจำหน่ายเพิ่มขึ้น มีกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น สร้างโอกาสให้ผู้อ่านและผู้สนใจสามารถมาเดินเลือกซื้อหนังสือที่ตัวเองชื่นชอบ และร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น
“เชื่อว่าวันนี้ผู้ที่มาร่วมงานมหกรรมหนังสือฯ ไม่ได้มาเพื่อซื้อหนังสือเท่านั้น แต่ต้องการมาเพื่อสรรหาแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์พร้อมกับความสนุกสนาน ทำให้การจัดงานหนังสือในรูปแบบของเฟสติวัลได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งในการจัดงานหนังสือครั้งต่อไป นักอ่านจะได้พบกับธีมใหม่ๆ ที่เชื่อว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนทุกครั้ง รอติดตามการจัดงานครั้งต่อไปครับ”