การขยายตัวของการท่องเที่ยวช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งมีต่างชาติเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นรวม 9.4 ล้านคน เติบโต 44 % จากปัจจัยบวกของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าไทย “วีซ่าฟรี” ส่งผลให้ตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทย อย่างนักท่องเที่ยวจีน และนักท่องเที่ยวอินเดีย เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ทำให้ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ โกยรายได้กันถ้วนหน้า
โดยในไตรมาสแรกปีนี้ธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ในตลท.ต่างมีผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเกิดโควิด-19 บางโรงแรมก็มีกำไรสูงเกินกว่าช่วงปี 2562 ไปแล้ว
จากดีมานต์การเดินทางเข้าไทยที่เพิ่มขึ้น จากแรงหนุนของวีซ่าฟรี ยังส่งผลให้ 6 สนามบินหลักของไทย ภายใต้การบริหารของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “AOT” มีผู้โดยสารจีน เติบโตเฉลี่ยจาก 13,200 คนต่อวัน ไปเป็น 28,100 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 113 % และผู้โดยสารอินเดียเติบโตเฉลี่ยจาก 5,100 คนต่อวัน ไปเป็น 6,200 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 22 %
ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 (งวด 3 เดือน สิ้นสุด 31 มีนาคม 2567) AOT มีกำไรสุทธิจำนวน 5,784.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,221.56 ล้านบาท หรือ 26.77 % และในปี 2567 สนามบินสุวรรณภูมิ เตรียมเปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
กำไรกว่า 5,784 ล้านบาทของ AOT ยังถือว่าสูงกว่ากำไรของ 3 สายการบินที่จดทะเบียนอยู่ในตลท.รวมกัน เนื่องจากแม้สายการบินจะมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น กว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากค่าเช่าเครื่องบิน ซึ่งเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
สายการบินกำไรหด อ่วมบาทอ่อนค่า
ในส่วนของธุรกิจสายการบินยังคงเทคออฟต่อเนื่อง 3 สายการบินที่อยู่ในตลท. ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส การบินไทย และไทยแอร์เอเชีย ทุกสายการบินมีรายได้รวมกันในช่วงไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 67,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกว่า 10,736 ล้านบาท จากจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินต่างๆเพิ่มมากขึ้น แต่กลับพบว่าในภาพรวมสายการบินมีกำไรรวมอยู่ที่ 4,282 ล้านบาทเท่านั้น ลดฮวบไปกว่า 9,465 ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี66 ที่มีกำไรรวมกันกว่า 13,747 ล้านบาท
ภาพรวมกำไรที่ลดลงของธุรกิจสายการบินในตลท. ปัจจัยหลักมาจากการทำกำไรของ “การบินไทย” ที่ลดลง 80 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีการเติบโตของรายได้ถึง 45,955 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน กว่า 5,372 ล้านบาท จากเงินบาทอ่อนค่า ทำให้มูลค่าเงินกู้ รวมถึงสินทรัพย์และหนี้สินต่างประเทศเพิ่มขึ้น การขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องบิน และสินทรัพย์สิทธิการใช้อุปกรณ์การบินหมุนเวียนกว่า 3,338 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนจากการเตรียมขายเครื่องบินจำนวน 12 ลำ ที่มีราคาเสนอซื้อเครื่องบิน ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 16.9% จากการรับมอบเครื่องบินแอร์บัสเอ 350 เข้าฝูงบินมากขึ้น และการนำเครื่องบินแอร์บัสเอ 330 กลับมาเปิดให้บริการ
ขณะที่ “ไทยแอร์เอเชีย” ก็พลิกจากกำไร มาขาดทุน 409 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีนี้ สาเหตุหลักจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 2,049.4 ล้านบาท ทั้งๆที่สายการบินมีกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 1,640 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 203 ล้านบาท
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า แม้สายการบินจะมีผลประกอบการที่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท เพราะในไตรมาส 1 ปีนี้ สายการบินพลิกจากขาดทุนจากการดำเนินงาน 203.2 ล้านบาท มาสร้างกำไรจากการดำเนินงาน 1,640.3 ล้านบาท จากอัตราการขนส่งผู้โดยสารรวมที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 93 % ซึ่งสายการบินมีส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศในเดือนมี.ค.แตะ 40% สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนตลาดต่างประเทศได้ประโยชน์จากนโยบายยกเลิกวีซ่า (วีซ่าฟรี) และในปีนี้มีแผนจะรับมอบเครื่องบินใหม่อีก 4 ลำ โดยตลอดทั้งปีนี้สายการบินตั้งเป้าขนส่งผู้โดยสาร 20-21 ล้านคน มีรายได้เติบโต 20-23%
มีเพียง “บางกอกแอร์เวย์ส” สายการบินเดียว ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นถึง 113.7% ทั้งเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็นับว่าทุบสถิติกำไรโตแซงปีก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2562) ที่มีกำไรอยู่ที่ 510.8 ล้านบาทไปแล้ว โดยในไตรมาสแรกปีนี้ สัดส่วนรายได้กว่า 73.4 % มาจากธุรกิจสายการบิน ซึ่งเส้นทางบินหลักในการสร้างรายได้ก็ยังคงเป็นเส้นทางบินสมุย ขณะที่อีก 16.8% เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน ที่ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้บริการสายการบินต่างๆที่กลับมาเปิดบินเข้าไทยเพิ่มขึ้น
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เผยว่าภาพรวมสถานการณ์การเดินทางและการท่องเที่ยวทั่วโลกและในไทยที่ยังคงมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยปัจจัยการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินในเอเชียแปซิฟิก และการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ โดยได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางที่มี ความต้องการสูง โดยเฉพาะเส้นทางสมุย รวมถึงได้กลับมาให้บริการเส้นทางบินไปยังประเทศจีน 2 เส้นทางเชื่อมเกาะสมุย ได้แก่ สมุย-เฉิงตู และสมุย-ฉงชิ่ง
บางกอกแอร์เวย์ส ยังคงวางเป้าผู้โดยสารตลอดปี 2567 ที่ 4.5 ล้านคน และรายได้ผู้โดยสาร 17,800 ล้านบาท และยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรสายการบิน โดยมีแผนข้อตกลงความร่วมมือกับสายการบินเพิ่มเติมประมาณ 2 สายการบินในปี 2567 อีกทั้งมีแผนจะพัฒนาสนามบินสมุย สนามบินสุโขทัย และสนามบินตราด ส่งเสริมศักยภาพเครือข่ายเส้นทางบิน เพิ่มศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
โรงแรมรายได้พุ่งเกินโควิด-19 แล้ว
ในส่วนของธุรกิจ “โรงแรม” รายใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลท. เมื่อดูจากผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ พบว่ามีกำไรเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุด คือ “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ MINT โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ ประเทศไทย ไมเนอร์ โฮเทลส์ ออสเตรเลีย และไมเนอร์ ฟู้ด มีอัตราการเติบโตระดับตัวเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยกเว้น ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยุโรป แอนด์ อเมริกา ที่ยังขาดทุนอยู่ แต่ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ไมเนอร์ พลิกจากขาดทุน กลับมาทำกำไร 1,146 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีนี้
สำหรับโรงแรมที่ทำกำไรสูงสุดในไตรมาสแรกปีนี้ จะเป็น แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ “AWC” ซึ่งมีกำไร 1,604 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีกำไรจากการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจโรงแรม สูงถึง 1,401 ล้านบาท เติบโต 83% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่าแซงหน้าปีก่อนเกิดโควิด-19 ไปแล้ว รวมถึงการเติบโตก้าวกระโดดตามกลยุทธ์การขยายพอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินคุณภาพ โดยเฉพาะทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ของกลุ่มโรงแรมและการบริการที่เติบโตต่อเนื่อง เติบโตเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปี 2562
นอกจากนี้ AWC ยัง จะเร่งแปลงทรัพย์สินระหว่างพัฒนา (Developing Asset) มูลค่ากว่า 40,024 ล้านบาท ให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating Asset) และการลงทุนโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ด้วยงบประมาณการลงทุนรวมกว่า 126,000 ล้านบาท โดยความสามารถในการจัดหาเงินทุน (Debt Capacity) ที่แข็งแกร่งและโมเดลลงทุนเพื่อการเติบโต เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอคุณภาพในระยะยาว
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้จะเห็นว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรม และเนื่องด้วยในไตรมาส 1/2567 เป็นไฮซีซันของธุรกิจ ส่งผลให้การเติบโตของกำไรสุทธิกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
ต้องยอมรับว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาครัฐ อย่าง Free Visa ค่อนข้างได้ผล และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีที่คาดการณ์ไว้ 35 ล้านคน ยังเป็นไปได้ เพราะในไตรมาส 1/2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้วกว่า 9.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากปีก่อน และหากนับรวมเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยทะลุ 12.12 ล้านบาท สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า 5.83 แสนล้านบาท
แม้ว่าตามปกติแล้วในช่วงไตรมาส 2 และ 3 จะเข้าสู่โลว์ซีซันของการท่องเที่ยวจากฝั่งยุโรป ทำให้คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมอาจย่อตัวลงเมื่อเทียบจากไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา และจะกลับมามีการเติบโตอย่างโดดเด่นอีกครั้งในไตรมาส 4/2567 โดยในปีนี้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้มองว่าราคาตั๋วเที่ยวบิน และราคาโรงแรมจะทรงตัวสูงได้ต่อไปนั่นเอง