ครึ่งปีแรก "ไมเนอร์" กำไรพุ่ง 74 % โกยกำไร 3,969 ล้าน

08 ส.ค. 2567 | 19:13 น.

ไมเนอร์ประกาศกำไรสุทธิเติบโต 74 % ในครึ่งปีแรกของ ปี 2567 สะท้อนถึงรูปแบบโมเดลทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง MINT และความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ประกาศกำไรสุทธิสำหรับผลประกอบการ ครึ่งปีแรกของ ปี 2567 ที่จำนวน 3,969 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 74 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งนี้จากฐานที่สูงของกำไรสุทธิในปีก่อน

สะท้อนถึงรูปแบบโมเดลทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ MINTและความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก ใน 6 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว) เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 22 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ไมเนอร์

ไตรมาส 2 ปี 2567 MINT มีกำไรสุทธิจากการดําเนินงานสร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวน 3,230 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8 % โดยหลักมาจากความสำเร็จของโรงแรมในทวีปยุโรปและอเมริกาที่เข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว ความต้องการการเดินทางเพื่อพักผ่อนและเพื่อธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง

ในส่วนของพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรมทั้งในยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในไตรมาส 2 ปี 2567 สำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและเช่าบริหารในภูมิภาคนี้เติบโตที่ 8 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

แม้ว่าปีที่แล้วจะมีฐานที่สูง การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่ 7 % และการเติบโตของอัตราการเข้าพักของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม 1 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยได้รับประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญจากโรงแรมในมาดริด เวนิส และเมืองสำคัญและเมืองรองในเยอรมนี ซึ่งได้รับประโยชน์จากฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรเปี้ยนแชมเปี้ยนชิปในเดือนมิถุนายน 2567 

ครึ่งปีแรก \"ไมเนอร์\" กำไรพุ่ง 74 % โกยกำไร 3,969 ล้าน

นอกเหนือจากความสําเร็จในยุโรปและอเมริกาแล้ว โรงแรมที่ MINT เป็นเจ้าของในประเทศไทยยังมีการเติบโตอย่างมีนัยสําคัญ โดยในไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนมีการเติบโต 14 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระแสการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย โดยมีการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป อินเดีย และออสเตรเลีย 

โดยอัตราการเข้าพักเติบโต 5 % และ ราคาห้องพักเฉลี่ยเติบโต 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เน้นย้ำถึงความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนํา

ความแข็งแกร่งของพอร์ตสินทรัพย์ของ MINT โรงแรมในสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นและทําผลงานได้เหนือความคาดหมาย ด้วยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนร้อยละ 32 10 และ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลําดับ

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมภายใต้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ซึ่งได้รวมหน่วยธุรกิจ    ค้าปลีก ได้เห็นความสำเร็จจากป๊อป มาร์ทที่ขณะนี้มีถึง 6 สาขาในกรุงเทพฯ และเป็นส่วนสําคัญที่ช่วยเสริมความสามารถในการทํากําไรของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม

ครึ่งปีแรก \"ไมเนอร์\" กำไรพุ่ง 74 % โกยกำไร 3,969 ล้าน

ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 ไมเนอร์ ฟู้ด ยังคงรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยส่วนใหญ่มาจากการดําเนินงานในประเทศไทยและสิงคโปร์ ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (Total-System-Sales) ในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดเติบโต 7.4 %

ในขณะที่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นที่ 12.8 % ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำส่วนแบ่งทางการตลาดของไมเนอร์ฟู้ดในทั้งสองตลาด การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากโปรแกรมความภักดีที่ประสบความสําเร็จและการนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในช่วงที่ความต้องการรับประทานอาหารในร้านฟื้นตัว 

เช่น ซิซซ์เลอร์นำเสนอเมนูคอมโบสลัดบาร์บุฟเฟ่ต์และโปรตีนที่ขายดีที่สุด และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี  นำเสนอ BiTE ซึ่งเป็นอาหารจานเดียว ที่เหมาะสําหรับการจัดส่ง ความพยายามเหล่านี้เพิ่มความน่าสนใจของแบรนด์สามารถสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและเพิ่มโอกาสในการรับประทานอาหารที่หลากหลาย 

ส่งผลให้ยอดขายต่อร้านเดิมเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 7.1 และ 2.8 สําหรับซิซซ์เลอร์ และ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ตามลําดับ การได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยทำให้อัตรากําไรดีขึ้น

ผลการดําเนินงานที่แข็งแกร่งของกิจการร่วมค้าหนุนให้ ไมเนอร์ ฟู้ด สามารถบรรลุการเติบโตอย่างมีนัยสําคัญทั้งในส่วนของรายได้และผลกำไร ด้วยกําไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 36 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานและส่วนของผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งของ MINT บริษัทยังคงสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนลดลงจาก 1.01 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.96 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2567 การลดลงนี้ถือเป็นผลสำเร็จถึงแม้ว่าจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งการยกระดับอสังหาริมทรัพย์ การรีแบรนด์ รวมถึงมีการจ่ายเงินปันผลที่ 0.32 บาทต่อหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567

MINT เปิดตัวโรงแรม ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567  โดยมีทั้งโรงแรมในประเทศฟินแลนด์ที่บริษัทเช่าบริหาร และโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหารในแอฟริกาใต้ มัลดีฟส์ ศรีลังกา และไทย ซึ่งรวมถึงโรงแรมเอ็นเอช แห่งแรกใน โยฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ 

ไมเนอร์ โฮเทลส์

การเปิดตัวโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหารของ เอ็นเอช และ เอ็นเอช คอลเลคชั่น จำนวน 4 โรงแรม ในประเทศ ศรีลังกาและมัลดีฟส์ ซึ่งทาง ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้มีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่บริษัทเป็นเจ้าของเองอยู่แล้ว  

นอกจากนี้ การที่บริษัทได้เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของประเทศอินโดนีเซีย  MINT ได้ขยาย แดรี่ ควีน ไปยังเมืองใหม่ๆ ในประเทศอินโดนีเซีย เช่น บาหลีและบันเติน ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  

ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ MINT ในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้โมเดลธุรกิจแบบลดการถือครองสินทรัพย์ หรือ Asset-Light และเน้นการเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจเป็นสำคัญ

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของธุรกิจของ MINT สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2567 จากการที่ยุโรปเตรียมเข้าสู่ ไฮซีซั่นอีกครั้งในเดือนกันยายนและตุลาคม ซึ่งจะมีทั้งกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ และกีฬา รวมถึงการประชุมทางธุรกิจ

นายดิลิป ราชากาเรีย

ในขณะที่แถบเอเชียจะเข้าช่วงไฮซีซั่นใน ไตรมาสที่ 4 ซึ่งเราพร้อมที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ที่นำความริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ประกอบกับแบรนด์ระดับพรีเมียมและสินทรัพย์ต่างๆ ในพอร์ตโฟลิโอเป็นสิ่งสำคัญ

ทำให้มั่นใจได้ว่าเราสามารถได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากโอกาสที่จะเข้ามา สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดเป้าหมาย และส่งต่อผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมนี้ให้กับทั้งผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราต่อไป 

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าจะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2567