เชียร์แจ้งเกิด 3 เหมืองโปแตช ลดนำเข้าแม่ปุ๋ยแสนล้าน

06 พ.ค. 2566 | 05:45 น.
อัพเดตล่าสุด :06 พ.ค. 2566 | 06:06 น.

รัฐ-เอกชน-นักวิชาการ เชียร์เดินหน้า 3 เหมืองโปแตช แจ้งเกิดโรงงานผลิตแม่ปุ๋ยเอง หลังแบกอ่วมนำเข้าปี 65 กว่าแสนล้าน กรมวิชาการเกษตรเล็งช่วยลดต้นทุนเกษตรกรได้อีกไม่ต่ำ 30% ม.หอการค้าฯ ชี้ภาคเกษตรไทยเสียเปรียบ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน “อาเซียนโปแตชชัยภูมิ” เร่งสปีดโครงการ

ในการสัมมนา THE BIG ISSUE 2023 ปุ๋ยแพง : วาระเร่งด่วนประเทศไทย ทางรอดเกษตรกร จัดโดย “ฐานเศรษฐกิจ” และเครือเนชั่น ในภาพรวมได้พูดถึงปัญหาปุ๋ยเคมีที่เป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของเกษตรกรไทยมีราคาที่แพงขึ้นในรอบปี 2565 ที่ผ่านมา 100-200% จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลอุปทานปุ๋ยโลกขาดแคลน และมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตามต้นทุนพลังงาน พร้อมชี้แนะทางออกและแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายกสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่ง ถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องมีแม่ปุ๋ยหลักในการผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อทดแทนการนำเข้า (ปี 2565 ไทยมีการนำเข้าแม่ปุ๋ย และปุ๋ยเคมีสูตรต่าง ๆ กว่า 1.08 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ทราบว่า ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มีมติอนุญาตให้มีการผลิตและตั้งโรงงานเพื่อผลิตปุ๋ย (แม่ปุ๋ย) โพแทสเซียมคลอไรด์ในประเทศไทยจาก 3 แหล่ง

แหล่งแรกที่ จ.นครราชสีมา (ของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด) ซึ่งได้รับอนุญาตจาก ครม.ไปแล้ว แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของพื้นที่ แหล่งที่ 2 ที่จ.ชัยภูมิ (ของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน)) กำลังผลิต 1.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งได้รับสัมปทานไปแล้วเช่นกัน อยู่ระหว่างดำเนินการและระดมทุน คาดจะสามารถดำเนินการผลิตได้ในอีกประมาณ 3 ปี

ส่วนแหล่งที่ 3 ที่ จ.อุดรธานี (ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) ซึ่ง ครม.เพิ่งอนุมัติให้ความเห็นชอบได้รับสัมปทานไปเมื่อปี 2565 คาดจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปีจึงจะผลิตได้ (รวมกำลังผลิต 3 รายประมาณ 2.4 ล้านตันต่อปี)

ระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายกสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย

 “หากไทยมีแหล่งการผลิตปุ๋ยโปแตชในประเทศได้เอง และมีการใช้ปุ๋ยอย่างผสมผสาน ลดห่วงโซ่อุปทาน ลดยี่ปั๊วซาปั๊ว หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร และสถาบันเกษตรกรต่างๆ สามารถที่จะซื้อปุ๋ยจากบริษัทเหล่านี้ได้โดยตรง และเพิ่มการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภัณฑ์ โดยใช้ศาสตร์พระราชา รวมถึงการนำเทคโนโลยีด้านการเกษตร เช่น โดรนที่สามารถใส่ปุ๋ยได้อย่างแม่นยำ และเต็มประสิทธิภาพ และมีการขยายผลไปทั่วประเทศ มั่นใจว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกรจะลดลงไม่ต่ำกว่า 20-30%” นายระพีภัทร์ กล่าว

เชียร์แจ้งเกิด 3 เหมืองโปแตช ลดนำเข้าแม่ปุ๋ยแสนล้าน

  • ชี้ปุ๋ยลดราคาระยะสั้น

สอดคล้องกับ รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่กล่าวว่า จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ปุ๋ยไนโตรเจน (แม่ปุ๋ย) มีราคาสูงขึ้นมา โดยในปี 2563 ราคาขายปลีกอยู่ที่ 12,000-15,000 บาท/ตัน แต่ปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 30,000-35,000 บาท/ตัน ขณะที่ปุ๋ยฟอสฟอรัส ปี 2564 ราคาขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาท/ตัน แต่ปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 38,000 บาท/ตัน และปุ๋ยโพแทสเซียม ปี 2564 ราคาขายปลีกอยู่ที่ 9,000 บาท/ตันปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 32,000 บาท สูงขึ้นถึง 4 เท่า

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

“หากดูตัวเลขตลาดโลกราคาปุ๋ยปีที่แล้วเพิ่มขึ้นทุกตัว แต่เดือน มี.ค.ปีนี้ลดลง ตรงกับราคาปุ๋ยบ้านเรา หลายท่านอาจสงสัยว่าสงครามรัสเซียยังอยู่ แต่ทำไมปุ๋ยลดลง ซึ่งราคาปุ๋ยลดเกิดจากการดีล ระหว่าง UN และตุรกี ให้เกิดการส่งออก (Grain and Fertilizer Deal)โดยรัสเซียอนุญาตยูเครนให้ส่งออกปุ๋ยและธัญพืชผ่านทะเลดำได้ ซึ่งเป็นระยะสั้นเท่านั้นที่ทำให้ราคาปุ๋ยลดลง โดยรัสเซียให้เวลาส่งออก 60 วัน”

 สำหรับราคาปุ๋ยนับจากนี้ขึ้นอยู่กับ 5 ปัจจัย ได้แก่ 1. ดีลที่จะจบ พ.ค.66 นี้ ต้องติดตามว่ารัสเซียจะต่อให้หรือไม่ 2. ขึ้นอยู่กับสงครามรัสเซียกับยูเครนว่าจะจบอย่างไร3.ขึ้นอยู่กับราคาก๊าชธรรมชาติ โปแตช และฟอสเฟต 4.ขึ้นอยู่กับจีน และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ และ 5.ขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อปุ๋ยรัสเซียจากทั่วโลก

 อย่างไรก็ดีในอาเซียนไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านเรื่องต้นทุนปุ๋ย จากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย สามารถผลิตปุ๋ยได้เอง โดยมีอินโดนีเซียเป็นเบอร์หนึ่ง (กำลังผลิต 12 ล้านตันต่อปี) ซึ่งมีการผลิตครบวงจร ทั้งการขายในประเทศ การส่งออก และช่วยเกษตรกร ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องทำ มองว่าถึงเวลาที่จะต้องคุยกันเรื่องการผลิตปุ๋ยเองหรือไม่อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นต้นทุนสินค้าเกษตรไทยจะแข่งขันลำบาก จากมีต้นทุนและราคาปุ๋ยที่สูงขึ้นมาก จากอดีตที่ผ่านมาต้นทุนเกษตรกรไทยส่วนใหญ่คือค่าแรง แต่จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนปุ๋ยสูงกว่าค่าแรง ซึ่งไทยตั้งอยู่กับความเสี่ยงตลอดเวลา จากเป็นประเทศผู้นำเข้า

 “เรามีวัตถุดิบทั้งก๊าซ ทั้งโปแตช ที่เป็นสารตั้งต้นในการทำปุ๋ย ทำไมไม่ทำ ทั้งนี้เคยทำแล้วเมื่อปี 2525 แต่ว่าล้มเหลว ดังนั้นบางเรื่องเราควรเรียนรู้จากเพื่อนบ้าน รวมทั้งยังมีวิธีลดต้นทุนปุ๋ย เช่น ใช้ปุ๋ยในปริมาณที่ลดลง แต่เพิ่มรอบในการให้ การผลักดันส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และใช้ปุ๋ยให้ตรงกับความต้องการของดิน และต้นไม้ เป็นต้น”

  • วอนแจ้งเกิดเหมืองโปแตช

นายภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ในนามตัวแทนบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) หรือ APOT ที่ทีอาร์ซีถือหุ้นอยู่ 25% และเป็น 1 ใน 3 โครงการเหมืองแร่โปแตช กล่าวว่า ทีอาร์ซีได้เข้าร่วมโครงการฯนี้ในปี 2550 ล่าสุดต้นปี 2566 จากโครงการนี้มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 20% คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้กระทรวงการคลังดำเนินการเข้าเพิ่มทุนในโครงการฯ เพื่อดำเนินการโครงการนี้ต่อ

ภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC

อย่างไรก็ดี จากมติครม. ระบุอีกว่า เนื่องจาก บมจ.อาเซียนโปแตชชัยภูมิ เป็นหนี้กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ 5,848 ล้านบาท (หนี้สินค้างชำระการออกประทานบัตรและเงินค่าปรับผิดนัดชำระ) จึงขอให้ใช้หนี้ก่อน เบื้องต้นเอกชนได้เข้าไปเจรจากับภาครัฐ เพื่อขอให้โครงการฯนี้เกิดขึ้นได้ก่อน โดยหากโครงการเกิดได้ ทางบริษัทฯ จะใช้หนี้คืนในรูปของผลผลิตปุ๋ย ในราคาที่ต่ำกว่าการนำเข้าปุ๋ยหรือต่ำกว่าราคาประกาศแร่โปแตชของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) ณ วันที่ชำระลบ 10% หากภาครัฐต้องการปุ๋ยมากกว่านั้น ทางเอกชนพร้อมจำหน่ายปุ๋ยให้แก่ภาครัฐตามราคาที่ กพร.ประกาศ -7%

 นายภาสิต กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีปริมาณแร่โพแทสเซียมสำรองทั้งหมด 400,000 ล้านตัน แบ่งเป็น 2 แอ่ง ได้แก่ แอ่งสกลนคร และแอ่งโคราช โดยโครงการของ APOT ได้จัดเตรียมพื้นที่ ประมาณ 5,600 ไร่ ที่ห่างไกลจากชุมชน ซึ่งไม่อยู่ในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ไม่พาดผ่านแนวรอยเลื่อน และไม่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว ที่ผ่านมาโครงการฯได้ผ่านรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้วปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการวางแผนระดมทุน

 สำหรับภาพรวมตลาดปุ๋ยเคมีในไทย พบว่าปุ๋ยเคมีราคาแพงขึ้น ถึงแม้ว่าปริมาณการนำเข้าปุ๋ยลดลง โดยในปี 2565 มีปริมาณการนำเข้าปุ๋ยลดลง 25% แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 แสนล้านบาท เทียบกับปี 2564 ไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีจาก 45 ประเทศ ปริมาณ 5.5 ล้านตัน มีมูลค่าประมาณ 70,103 ล้านบาท

 ทั้งนี้ยังพบว่าต้นทุนการผลิตพืชมีค่าปุ๋ยเคมีเกินกว่า 20% ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ย และแม่ปุ๋ย จากต่างประเทศ ราคาแม่ปุ๋ยทุกชนิดมีการปรับตัวขึ้นอย่างสูงมาก ปัจจุบันไทยใช้ปริมาณปุ๋ยทั้งหมด ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี โดยมีแม่ปุ๋ย N-P-K ประมาณ 4 ล้านตันต่อปี

 “หากไทยสามารถเป็นผู้ผลิตปุ๋ยเคมีได้ เรายินดีให้ความร่วมมือกับผู้ประกอบการทุกราย เพราะเราเป็นต้นน้ำ ที่ไม่ได้มุ่งหวังการขายปลีก โดยที่เราไม่ต้องง้อการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่เราต้องการนำปุ๋ยไนโตรเจนจากต่างประเทศมาแลกกับแร่โปแตชในไทย หากเราสามารถเปลี่ยนพื้นที่เป็นสีแดงในการนำเข้าตลาดปุ๋ยเคมีได้ จะทำให้ไทยมีอำนาจต่อรองให้ราคาปุ๋ยเคมีลดลงได้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย”

  • คน.ยันปุ๋ยมีพอ-ราคาลดลง

 ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กล่าวว่า กรมการค้าภายในมีหน้าที่กำกับดูแลสินค้าทั้งราคาและปริมาณ โดยในส่วนของปุ๋ยจะดูแลปริมาณให้เพียงพอต่อความต้องการและราคาต้องไม่สูงเกินไป หรือต้องเป็นธรรม จากไทยเป็นผู้นำเข้าปุ๋ยเคมีเกือบ 100%

 ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อราคาปุ๋ย มาจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงานในตลาดโลก ดีมานด์-ซัพพลายในตลาดโลกในแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน อัตราแลกเปลี่ยนที่ยังผันผวน รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ค่าขนส่ง ทั้งทางเรือ ทางบก ทางอากาศ เป็นต้น ซึ่งมีส่วนส่งผลต่อราคาปุ๋ย และไทยเองก็นำเข้าปุ๋ยเกือบ 100%

ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน

ในปี 2565 ที่มีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาปุ๋ยในตลาดโลกและราคาในประเทศปรับตัวสูงขึ้นมาก กรมฯได้หารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ สมาคมผู้ค้าปุ๋ยในการจัดทำโครงการพาณิชย์ลดราคาปุ๋ย ซึ่งลดลงมา 20-50 บาทต่อกระสอบ แม้ว่าจะลดไม่มากแต่ก็ช่วยให้เราคงราคาไว้ได้อย่างน้อยประมาณ 4.5 ล้านกระสอบ ใน 48 สูตร ช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนการผลิตได้กว่า 100 ล้านบาท ซึ่งในช่วงเดือนก.ค.-ธ.ค.2565 มียอดสั่งซื้อกว่า 3 ล้านกระสอบ

 อย่างไรก็ดีเวลานี้ราคาปุ๋ยปรับลดลงมามาก เช่น เดิมปุ๋ยยูเรียราคาอยู่ที่ 1,600-1,700 บาทต่อกระสอบ เวลานี้อยู่ที่ 800 บาทต่อกระสอบ ลดลงมากกว่า 50% แต่ยังแพงในมุมมองของเกษตรกร เพราะราคาเดิมควรอยู่ที่ 500-600 บาทต่อกระสอบ ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่าหลายพื้นที่มีแนวโน้มราคาลดลง ส่วนที่บางพื้นที่ยังมีราคาหลักพันบาทต่อกระสอบอาจเป็นเพราะสต๊อกเก่ายังคงค้างอยู่มาก แต่เชื่อว่าราคาจะค่อยๆ ลดลง

สำหรับสต๊อกปุ๋ย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 พบว่ามีปริมาณ 1.3 ล้านตัน ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถือว่าเพิ่มขึ้นมากว่า 50% ทั้งนี้คาดการณ์ว่าความต้องการใช้ปุ๋ยจะเพิ่มมากขึ้น จากผลผลิตผลทางการเกษตรที่ดีโดยเฉพาะผลไม้ ซึ่งขอให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าปริมาณปุ๋ยมีเพียงพอแน่นอน

 ขณะที่ นายชุติภพ เหงากุล ที่ปรึกษาด้านเกษตรอินทรีย์ บริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะเกษตรอินทรีย์ จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลของศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุ ภาคเกษตรของไทยมีต้นทุนด้านปุ๋ย 20-28% ของต้นทุนการผลิตในภาพรวม มองว่าเป็นผลจากการผลักภาระต้นทุนไว้ที่ปุ๋ยเคมีทั้งหมด

ชุติภพ เหงากุล ที่ปรึกษาด้านเกษตรอินทรีย์ บริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะเกษตรอินทรีย์ จำกัด

อย่างไรก็ตาม จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ความต้องการอาหารในตลาดโลกสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเกตรปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยผลผลิตให้กับเกษตรกร เป็นปัจจัยบวกต่อผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวอินทรีย์ และสารอาหารสำหรับพืชของบริษัทฯที่มีมากมายหลายผลิตภัณฑ์ด้วย ทั้งนี้บริษัทได้ทำศูนย์วิจัยเกษตรไร้สารพิษ เนื้อที่ 50 ไร่ อยู่ที่ถนนพระราม 9 ซึ่งปัจจุบันกล้าบอกได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ของทีพีไอสามารถที่จะทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีได้ 100%

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3885 วันที่7  -10 พฤษภามคม พ.ศ. 2566