นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯพุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากผลกระทบดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกำลังซื้อของชาวอเมริกัน ณ เวลานี้ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด มีผลต่อเนื่องถึงการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯจากไทยช่วง 4 เดือนแรกปีนี้มีมูลค่า 14,679.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง หรือติดลบ 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายประมุข เจิดพงศาธร ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) ของกระทรวงพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท PJ US Group ผู้จัดหาและนำเข้าสินค้าไทยป้อนให้กับห้างค้าปลีก-ค้าส่งรายใหญ่ทั่วสหรัฐฯรวมกันนับหมื่นสาขา รวมถึงส่งให้เรือนจำบางแห่งในสหรัฐฯ (เรือนจำสหรัฐมีประมาณ 2 พันแห่ง)ภายใต้แบรนด์สินค้าของทางกลุ่มเอง และแบรนด์ของลูกค้า เผยในการให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯเวลานี้จะชะลอตัว มีคนว่างงานจำนวนมาก และก่อนหน้านี้มีธุรกิจใหญ่น้อยปิดตัวเองลงเป็นจำนวนมากจากผลกระทบที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดีในสินค้าอาหาร นํ้าผลไม้ ซอสและขนมขบเคี้ยว รวม 70-80 รายการที่ทางกลุ่มทำตลาดอยู่ได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ ขณะที่ชาวอเมริกันยังต้องกินต้องใช้
ดังนั้นในปีนี้ทางกลุ่มจะรุกหนักการทำตลาดข้าวสารบรรจุถุง ในข้าวชนิดหลัก ๆ ของไทยที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ทั้งข้าวหอมมะลิ ที่มีเครื่องหมายรับรองของกรมการค้าต่างประเทศ ข้าวหอมปทุมธานี ข้าวหอมและข้าวขาวออร์แกนิค ข้าวญี่ปุ่น ข้าวกล้อง และข้าวนึ่ง โดยขนาดนํ้าหนักน้อยสุด 1 ปอนด์ไปจนถึงขนาดใหญ่สุด 25 ปอนด์ โดยเวลานี้ที่ขายดีที่สุดคือ ขนาด 5 ปอนด์ จากมีปริมาณและราคาที่พอเหมาะ เพื่อการนำไปหุงกินที่บ้าน จากคนรัดเข็มขัด หุงข้าวและทำอาหารทานที่บ้านมากขึ้น
“ลูกค้าข้าวของเราในสหรัฐมีทั้งกลุ่มชาวเอเชีย ฮิสแปนิก และชาวอเมริกันที่นิยมทานข้าวเป็นอาหารหลัก เพราะข้าวราคาไม่แพง ซึ่งข้าวที่เราทำมีทั้งในแบรนด์ลูกค้า และแบรนด์ของเราเองคือ QUEEN ELEPHANT ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาผมได้ร่วมกับท่านทูตพาณิชย์ไทย ณ นครลอสแอนเจลิส ทำการโปรโมทข้าวหอมมะลิไทยในห้างต่าง ๆ ที่มีคอนเน็กชั่นอยู่ในหลายหัวเมืองของสหรัฐฯ กลับไปครั้งนี้ผมจะไปโปรโมทที่แอลเอ ซานโฮเซ ซาคราเมนโต ซีแอตเทิล โอเรกอน และกำลังจะต่อยอดขึ้นไปที่นิวยอร์ก ซึ่งจะทำต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายน”
ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันข้าวที่ทางกลุ่มทำตลาดในสหรัฐฯมาจาก 3 โรงงานผลิต (โรงแพ็ค) ที่เป็นพันธมิตรได้แก่ ของบริษัท ไร้ส์แลนด์ฟูดส์ จำกัด ที่สระบุรี โรงงานของบริษัทสุนทรธัญทรัพย์ จำกัด (ข้าวตราไก่แจ้) ที่ชลบุรี และล่าสุดทางกลุ่มได้ร่วมทุนกับบริษัท เถกิงอุตสาหกรรมฯ สัดส่วน 50 : 50 ตั้งโรงงานแพ็คข้าวเองในนามบริษัท Sathorn Organic ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้เริ่มส่งมอบสินค้าแล้ว
ขณะเดียวกันทางกลุ่มได้ริเริ่มแนวคิดในการทำสินค้าใหม่เป็น “สินค้าสะดวกทาน” เช่น ข้าวปรุงสุกในรสชาติต่างๆ อาทิ ข้าวรสผัดไทย บรรจุในแพ็กเกจที่สามารถไปอุ่นในไมโครเวฟและรับประทานได้เลย เป็นผลจากที่เวลานี้ทางกลุ่มมีช่องการขายสินค้าให้กับกองทัพสหรัฐฯที่ต้องการสินค้าที่มีความสะดวกรวดเร็วและมีคุณค่าทางอาหาร นอกจากเวลานี้ทางกลุ่มยังได้จัดหาสินค้าให้กับ เรือนจำในสหรัฐฯ เช่น ซอส นํ้าจิ้ม และอื่นๆ
นายประมุข เผยถึงผลประกอบการของกลุ่มในปี 2565 ว่า มียอดขายหลักพันล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน แต่มีผลกำไรหรือมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นในระดับที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าระวางเรือจากไทยไปสหรัฐฯปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ และการค้าโลกที่ชะลอตัว รวมถึงราคาพลังงานปรับตัวลดลง จากเคยขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 1.5-2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯต่อตู้ เวลานี้ลดลงมาอยู่ที่ระดับกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อตู้ ใกล้เคียงกับช่วงที่ก่อนจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน และส่วนหนึ่งผลจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้า แม้เวลานี้ลูกค้าประจำที่สั่งจัดหาหรือสั่งซื้อสินค้าจากทางกลุ่มจะมีการขอปรับลดราคาสินค้าลงมาบ้างแล้ว แต่ราคาโดยเฉลี่ยก็ยังอยู่ระดับสูง
“มาร์จิ้นที่ดียังเป็นผลจากแบรนด์สินค้าของบริษัท และแบรนด์ของลูกค้าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่เวลาซื้อสินค้า จะเลือกซื้อสินค้าในแบรนด์ที่รู้จักและมีชื่อเสียงก่อน ดังนั้นเรื่องแบรนด์จึงมีความสำคัญมาก ในปีนี้เบื้องต้นทาง PJ US Group คาดยอดขายจะเพิ่มขึ้น 10-20% และจากผลประกอบการและผลกำไรที่ดี ทำให้เวลานี้มีผู้ขอซื้อหุ้นของบริษัทรวมถึงขอซื้อบริษัทเลยก็มีเยอะ ก็เป็นความภูมิใจของผมอย่างหนึ่งที่เราทำมาได้ดีถึงระดับนี้ แต่ผมเป็นคนคอนเซอร์เวทีฟ ยังสนุกกับงาน ยังไม่คิดที่จะขาย”นายประมุข กล่าว