และจากความสำเร็จในการคัดสรรสุดยอดกาแฟไทยตามมาตรฐานสากลในการจัดประกวดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสามารถดึงดูดผู้ค้ากาแฟให้หันมามองกาแฟไทยที่รสชาติไม่แพ้ใครในตลาดโลก โดยในปี 2565 ล่าสุดสามารถสร้างมูลค่ากาแฟที่เกิดขึ้นจากการประกวดคิดเป็นเงินกว่า 1.3 ล้านบาท
เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้เกิดการบริโภคกาแฟไทยต่อเนื่อง กรมวิชาการเกษตรได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องจัดการประกวดสุดยอดกาแฟไทยปี 2566 (Thai Coffee Excellent 2023) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพฯพระราชทานถ้วยรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศการประกวดแต่ละประเภท
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยว่า ในการประกวดปีนี้จะมีการจัดการแข่งขันใน 5 ประเภท ได้แก่ 1.กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีแห้ง(dry process) มีผู้สมัคร 36 ราย 2.กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีเปียก (wet process) มีผู้สมัคร 56 ราย 3.กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีกึ่งแห้ง (honey process) มีผู้สมัคร 32 ราย 4.กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยใช้นวัตกรรม (innovative process) มีผู้สมัคร 11 ราย และ 5.กาแฟโรบัสตา ไม่แยกกระบวนการแปรรูป มีผู้สมัคร 56 ราย รวมปี 2566 นี้มีเกษตรกรส่งตัวอย่างเข้าประกวดทั้งสิ้น 191 ราย /ตัวอย่าง
ประกอบด้วยจากจังหวัดเชียงใหม่(48 ตัวอย่าง), เชียงราย ( 50 ตัวอย่าง), น่าน (27 ตัวอย่าง), ลำปาง(7 ตัวอย่าง), แม่ฮ่องสอน(13 ตัวอย่าง), แพร่(3 ตัวอย่าง), พะเยา(1 ตัวอย่าง), พิษณุโลก(1 ตัวอย่าง), เพชรบูรณ์(4 ตัวอย่าง), ตราด (1 ตัวอย่าง), ตาก(3 ตัวอย่าง), กาญจนบุรี(3 ตัวอย่าง), ราชบุรี(1 ตัวอย่าง), ประจวบคีรีขันธ์(2 ตัวอย่าง), เลย (2 ตัวอย่าง), ชุมพร (11 ตัวอย่าง), สุราษฎร์ธานี(2 ตัวอย่าง), นครศรีธรรมราช(2 ตัวอย่าง), ระนอง(5 ตัวอย่าง), สตูล(1 ตัวอย่าง)สงขลา (1 ตัวอย่าง) และกระบี่(3 ตัวอย่าง) โดยมีตัวอย่างกาแฟที่ผ่านการตรวจเบื้องต้นเข้ามาสู่รอบ Green grading 186 ตัวอย่าง และเข้าสู่กระบวนการทดสอบรสชาติ 147 ตัวอย่าง เป็นกาแฟอะราบิกา 111 ตัวอย่าง โรบัสตา 36 ตัวอย่าง
ทั้งนี้การดำเนินการประกวดจะเริ่มรอบ 2 ในวันที่ 23-25 ก.ค. จะได้ลุ้นและทราบกันว่า ใครคือสุดยอดกาแฟไทย (อะราบิกา) ลำดับที่ 1-10 ที่จะได้จัดขึ้นโต๊ะประมูล ส่วนประเภทกาแฟโรบัสตาจะเริ่มรอบ 2 ในวันที่ 29-30 กรกฎาคม 2566 นี้ โดยกาแฟที่ชนะการประกวด จะได้นำไปร่วมงานแสดงสินค้า Hannover Messe ระหว่างวันที่ 12-18 พ.ย.นี้ ณ เมือง Hannover สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพร่วมกับสมาคมการเกษตรเยอรมนี