ผวาบาทอ่อน ไทยขาดดุลการค้าพุ่ง 8 เดือน ติดลบแล้ว 3.5 แสนล้าน

เงินบาททำสถิติอ่อนค่ามากสุดในรอบ 11 เดือน เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ล่าสุดจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ แต่ภาคเอกชนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ยังผันผวน อ่อนค่า-แข็งค่าเร็วมากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาคการส่งออกของไทยแม้จะได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ทำให้ราคาสินค้าไทยถูกลงตามค่าเงิน ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันส่งออก แต่อีกด้านส่งผลทำให้การนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ที่ต้องนำเข้าเพื่อใช้ผลิตส่งออกมีต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้นตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งจะกระทบต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าไทยปรับตัวสูงขึ้น และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันส่งออก

นอกจากนี้บาทอ่อนค่ายังกระทบต่อการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง ที่เวลานี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส และจากกลุ่มโอเปก พลัสได้ปรับลดกำลังผลิตนํ้ามันดิบลงวันละ 1 ล้านบาร์เรล ขณะที่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาวของชาติตะวันตก ทำให้มีความต้องการสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ซึ่งจากราคาพลังงานที่กำลังปรับเพิ่มขึ้นในเวลานี้ จะกระทบต่อราคานํ้ามันในประเทศและค่าไฟฟ้าของไทยที่รัฐบาลเพิ่งปรับลดราคาลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย อาจปรับขึ้นอีกในงวดใหม่ และจะมีผลต่อต้นทุนและราคาสินค้า

“ผู้ประกอบการยังมีภาระเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.50% ต่อปี ซึ่งจะมีผลต่อเงินทุนหมุนเวียนและสภาพคล่อง และอาจทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนยากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการธุรกิจอย่างรอบคอบ และลดต้นทุนให้มากสุด”

จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร เผยว่า ปี 2565 ไทยมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 10.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% โดยสินค้าเชื้อเพลิงมีอัตราการขยายตัวของการนำเข้ามากสุดที่ 67% (มูลค่านำเข้า 2.10 ล้านล้านบาท) ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่การนำเข้าสินค้าของไทยช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มีมูลค่ารวม 6.73 ล้านล้านบาท ส่งออก 6.37 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้า 3.53 แสนล้านบาท