นายมนตรี เลาหศักดิ์ประสิทธิ์ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 6 เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอให้พิจารณาเรื่องการให้น้ำตาลทรายเป็นสินค้าควบคุม เพื่อป้องกันการกำหนดการขึ้นราคาหรือราคาจำหน่ายหรือกำหนดเงื่อนไขปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมและกำกับดูแลสินค้าน้ำตาลทรายให้มีราคาที่เป็นธรรมและมีปริมาณเพียงพอ ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สนอ.) ได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทราย บริสุทธิ์ หน้าโรงงาน กิโลกรัมละ 4 บาท ทำให้ราคาปลีกน้ำตาลต้องขยับขึ้นตาม โดยระบุว่า
ในความเป็นจริงการปรับขึ้นราคาน้ำตาล 4 บาท เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เป็นมติความเห็นชอบของคณะกรรมการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล(กอน.) ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์น้ำตาลโลกในปัจจุบันมีราคาที่สูงกว่าประเทศไทยจำนวนมาก
ขณะที่ไทยจำหน่ายน้ำตาล 20-23 บาท แต่ราคาของตลาดโลกจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 40-50 บาท และที่ผ่านมา เมื่อประมาณปี 2560/2561 ประเทศไทยได้ถูกประเทศบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกได้ร้องในเรื่องของราคาน้ำตาลของประเทศไทย ที่รัฐบาลได้เข้าไปอุดหนุนราคาน้ำตาลช่วยเหลือขาวไร่ จนทำให้เกิดผลกระทบต่อการจำหน่ายน้ำตาลในตลาดโลก
รัฐบาลจึงได้ปล่อยให้ราคาอ้อยและน้ำตาลลอยตัวมา 3-4 ปี ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องแบกรับภาระการขาดทุนมาโดยตลอด ซึ่งการปรับราคาน้ำตาล 4 บาทนั้น เป็นการแบ่ง 2 จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนที่ 1 เงินจำนวน 2 บาท แบ่งให้กับกองทุนน้ำตาล 2 บาท และอีก 2 บาท เป็นการช่วยเหลือก็ช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่แบกรับปัญหา โดยเฉพาะต้นทุนการผลิต หรือการปลูกอ้อยมีราคาที่สูงมาเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ หากไม่มีการปรับตัวตามมติของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ขณะที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงเรานั้นมีราคาน้ำตาลทรายสูงกว่าของประเทศไทย ก็จะส่งผลให้น้ำตาลทะลักออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านแบบผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกองทัพมดที่พร้อมจะลักลอบส่งออกน้ำตาลเหล่านี้ไปสู่ประเทศที่บริโภคน้ำตาลแพงกว่าประเทศไทย อนาคตน้ำตาลภายในประเทศก็จะขาดตลาดทันที
"ล่าสุดองค์กรหลักได้มีการหารือใน 4 องค์กรหลัก ได้แก่ สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ,ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน ,สหสมาคมชาวไร่อ้อย แห่งประเทศไทย ,สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย โดยได้สรุปกำหนดมาตรการขั้นเด็ดขาดด้วยการปิดโรงงานผลิตน้ำตาลทั่วประเทศ พร้อมกันในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 เพื่อไม่ยอมนำน้ำตาลในส่วนของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ในส่วน 70% เพราะหากจำหน่ายไปแล้ว ก็จะขาดทุน ส่วนน้ำตาลที่เหลืออีก 30% ที่เป็นโควต้าของโรงงานก็จะปล่อยเป็นเรื่องโรงงาน เราไม่ยุ่งเกี่ยวหากจะปล่อยไปจำหน่าย สำหรับการเตรียมปิดโรงงานน้ำตาลครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำตาลในฤดูหีบอ้อย"
นายมนตรี กล่าวอีกว่า ข้อเรียกร้องของการปิดโรงงานน้ำตาลในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตอบการแก้ปัญหาที่จะช่วยเหลือเกษตรกรในส่วนเงิน 2 บาท ให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร ประการที่สองเงินจำนวน 8,000 ล้านบาทที่จะช่วยเหลือการตัดอ้อยปี 2565/66 ตันละ 120 บาทที่ค้างแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะทำเช่นไร
ซึ่งการปิดโกดังในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาดจนกว่าจะได้ข้อสรุปในการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่ชัดเจน ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแล้ว นายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 6 ได้เปิดห้องประชุมกับคณะกรรมการบริหารของสมาคมชาวไร่อ้อยเพื่อกำหนดมาตรการและแบ่งหน้าที่ในการเคลื่อนไหวไปยังโรงงานเพื่อปิดโกดังโควตาส่วน 70% ของสมาคมชาวไร่อ้อยไม่ให้ออกสู่ตลาดในครั้งนี้
นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย กล่าวยืนยันกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การประกาศปิดโรงงานน้ำตาลวันที่ 5 พ.ย. 66 เป็นมติจากทั่วประเทศ ซึ่งมีการหารือและกำหนดวันเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะขอพบผู้นำชาวไร่อ้อยวันพรุ่งนี้ (2 พ.ย. 66) ที่กระทรวงในช่วงเวลาประมาณ 13.30-14.00 น. แต่ยังไม่ได้มีการระบุเวลาที่ชัดเจนเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น