โครงการประกันภัยพืชผล ในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม พ.ศ. 2554 จากการที่เกษตรกรต้องเผชิญกับความเสี่ยงในระหว่างการเพาะปลูก รัฐบาลจึงหาเครื่องมือมาบริหารความเสี่ยงให้กับเกษตรกรโดยใช้ระบบประกันภัย ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งชดเชยค่าเบี้ยประกันภัยให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ความเสี่ยงของเกษตรกรได้รับการดูแลอย่างครบวงจร
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเห็นชอบ "ประกันภัยข้าวนาปี" ปีการผลิต 2567/68 วงเงิน 1,569 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งรูปแบบโครงการส่วนในปีนี้จะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับทุกปีที่ผ่านมา ซึ่ง "ประกันภัยข้าวนาปี 2567" รัฐบาลจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย Tier 1 ร้อยละ 60 และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย Tier 1 ร้อยละ 40 แบ่งการรับประกันภัยออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยโดยภาคสมัครใจของเกษตรกร (Tier 2) โดยวางเป้าหมายพื้นที่ปลูกข้าว 21 ล้านไร่
“ประกันภัยข้าวนาปี 2567” มีอัตราค่าเบี้ยประกันภัย ดังนี้
ผู้เอาประกันต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ที่ขึ้นทะเบียน และแจ้งปรับข้อมูลเกษตรกับกรมส่งเสริมการเกษตร (ทบก.) ในปีการผลิต 2567/68
1.ประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1)
รัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนค่าเบี้ยประกัน 70 บาทต่อไร่ เกษตรกรสามารถเลือกซื้อประกันขั้นพื้นฐานตามพื้นที่ความเสี่ยง (Tier 1) ได้แก่
พื้นที่เสี่ยงต่ำ 27บาทต่อไร่
พื้นที่ความเสี่ยงกลาง 60 บาทต่อไร่
พื้นที่ความเสี่ยงสูง 218 บาทต่อไร่
(ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยมีวงเงินคุ้มครองสำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ภัย จำนวน 1,190 บาทต่อไร่ และกรณีศัตรูพืช และโรคระบาด วงเงินความคุ้มครอง 595 บาทต่อไร่
2. ประกันภาคสมัครใจ (Tier 2)
กำหนดชำระค่าเบี้ยประกันได้ด้วยตนเอง แบ่งตามความเสี่ยงของพื้นที่ ได้แก่
พื้นที่เสี่ยงต่ำ 27 บาทต่อไร่
พื้นที่ความเสี่ยงกลาง 60 บาทต่อไร่
พื้นที่ความเสี่ยงสูง 110 บาทต่อไร่
(ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) วงเงินคุ้มครองเพิ่มอีก 240 บาท กรณีเกิด 7 ภัยธรรมชาติ และวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาท กรณีโรคระบาด/ศัตรูพืช
เกษตรกรผู้เอาประกันภัยต้องทำอย่างไร?
กรณีเกิดภัยพิบัติ หรือพื้นที่ดังกล่าวได้รับการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติเกษตรกรผู้ทำประกันภัยที่ได้รับความเสียหาย สามารถแจ้งความเสียหายได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ ซึ่งสำนักงานเกษตรอำเภอ จะส่งข้อมูลไปยังสมาคมวินาศภัย เพื่อประเมินข้อมูลความเสียหาย เมื่อตรวจสอบครบถ้วนแล้ว สมาคมฯ จะพิจารณาจ่าย ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไข ภายใน 15 วัน ผ่านระบบ ธ.ก.ส. โดยเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรง เกษตรกรสามารถบันทึกข้อมูลความเสียหายผ่านแอปพลิเคชั่น “มะลิซ้อน” เพื่อให้สมาคมวินาศภัยไทย พิจารณาให้ความช่วยเหลือ กรณีพื้นที่ภัยพิบัติอยู่นอกเขตประกาศตามเกณฑ์เพิ่มเติมต่อไป
อย่างไรก็ดีเกษตรกรสามารถแจ้งขอเอาประกันภัยได้ ตั้งแต่วันที่ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ โดยไม่ต้องรอเพาะปลูกข้าวนาปีจริง หลังจากนั้นก็สามารถตรวจสอบสิทธิการทำประกันภัย หรือซื้อประกันภัยเพิ่มเติมอีกได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น “BAAC Insure” โดยดาวน์โหลดได้ผ่านระบบ IOS และ Android หรือเพียงนำบัตรประชาชนไปติดต่อ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ก็สามารถซื้อประกันได้เลยทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center 02 555 0555 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่นี่
ข้อยกเว้นความคุ้มครอง
การขอเอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะต้องเอาประกันภัยขั้นพื้นฐาน (Tier 1) ให้เต็มพื้นที่การผลิตในแปลงเพาะปลูกที่ขอเอาประกันภัยก่อน จึงจะ สามารถขอเอาประกันภัยส่วนเพิ่ม (Tier 2) สำหรับแปลงเพาะปลูกดังกล่าว ข้อยกเว้นความคุ้มครอง ตามกรมธรรม์หมวด 3 ไม่คุ้มครองภัยพื้นที่ตั้งอยู่ในเขตรัฐประกาศเป็นพื้นที่รับน้ำ/ กักเก็บน้ำ ทางน้ำไหลผ่านพื้นที่ที่ไม่ส่งเสริม การเพาะปลูก และข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัย