สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า รายงานว่า สถานการณ์ค่าเช่าพื้นที่ของกิจกรรมโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในครึ่งปีแรกของปี 2567 จากการสำรวจในเมืองเศรษฐกิจสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ สิงคโปร์ เขตเศรษฐกิจพิเศษเวียดนามตอนใต้ เมลเบิร์น บริสเบน มะบิลา จาการ์ตา ไทเป กรุงเทพมหานคร กัวลาลัมเปอร์ โอ๊คแลนด์ ซิดนีย์ ฮ่องกง ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ มีทิศทางการปรับราคาค่าเช่าอาคารคลังสินค้าในภูมิภาคสูงขึ้น โดยสูงขึ้นเฉลี่ย 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แต่ถือว่าลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ การหดตัวของราคาค่าเช่าคลังสินค้าในเอเซีย-แปซิฟิก เกิดจากการลดลงของกิจกรรมทางธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ค่าเช่าในปักกิ่งและเชี่ยงไฮ้ลดลงอย่างต่อเนื่อง และอัตราว่างของโกดังหรือคลังสินค้าในตลาดเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20% ส่งผลให้เจ้าของทรัพย์สินในจีนต้องลดค่าเช่าลง และสนอสัญญาเช่าระยะสั้นเพื่อดึงดูดผู้เช่า
นอกจากนี้ คาดว่าสถานการณ์ค่าเช่าในจีนน่าจะหดตัวลดต่ำลงอีก จากการมีคลังสินค้าใหม่จำนวนมากที่กำลังจะสร้างแล้วเสร็จและเปิดตัวในปีนี้ ในทางกลับกัน ค่าเช่าคลังสินค้าในตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค อาทิ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คงที่หรือเพิ่มขึ้น เช่น ค่าเช่าคลังสินค้าในกรุงเทพมหานครคงที่
ขณะที่ ค่าคลังสินค้าในสิงคโปร์สูงที่สุดในภูมิภาคและสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 เดือน ตั้งแต่ต้นปี 2567 เนื่องจากผู้ผลิต และผู้นำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศยังคงเชื่อมั่น และมองว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์มีแนวโน้มที่จะขยายตัว โดยแม้ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกมีความท้าทายและมีการแบ่งขึ้นสูงขึ้นแต่ความต้องการเช้าพื้นที่คลังสินค้ายังคงอยู่ในระดับสูง
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการธุรกิจบางรายในสิงคโปร์ได้พิจารณาซื้อพื้นที่โกดังแทนการเช่า เพื่อรับมือกับคำเซ่าที่เพิ่มขึ้น และรักษาความมั่นคงในระยะยาวแทนการเช่า
ทั้งนี้ แนวโน้มธุรกิจคลังสินค้าในไทยธุรกิจคลังสินค้ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจโลจิสติกส์ คลังสินค้ามีเพื่อการจัดเก็บวัตถุดิบ ชิ้นส่วนรอการผลิตสินค้าสำเร็จรูป คลังสินค้ายังเป็นจุดบรรจุสินค้า เปลี่ยนถ่ายสินค้า รับคืนสินค้า และอื่น ๆ ธุรกิจคลังสินค้าจึงมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการดำเนิบงานของธุรกิจ ตั้งแต่การผลิต การกระจายสินค้า การจำหน่าย และการขนส่ง
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าจำนวนนิติบุคคลธุรกิจคลังสินค้าในไทยที่ยังดำเนินกิจการอยู่สะสม ณ เดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ 924 ราย ประกอบด้วยธุรกิจเกี่ยวกับคลังสินค้าและการจัดเก็นสินค้าอื่น ๆ เช่น การมริการจัดเก็บสินค้าและสถามที่เก็บสินค้าที่เป็นของเหลวและก๊าซรวมถึงกิจกรรมที่พักสินค้าจากต่างประเทศ กิจกรรมเขตปลอดภาษีและฟรีไซน และคลังสินค้ากัณฑ์บน มีนิติบุคคลจำนวน 669 ราย มีสัดส่วนมิติบุคคลสัญชาติไทยอยู่ที่ประมาณ 76.13% และนิติบุคคลต่างชาติอยู่ที่ประมาน 23.87% แบ่งออกเป็น
จากข้อมูลวิจัยกรุงศรี เผยว่า ปี 2567-2568 ความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าในไทยโดยรวมคาดว่าจะเติบไตได้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้
นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนและการพัฒนาโครงการในมีคนอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเขต EECโดยผู้ประกอบการมีแนวโน้มขยายการลงทุนในคลังสินค้าแบบสำเร็จรูปพร้อมใช้ที่สร้างตามคำสั่งลูกค้า และคลังสินค้าพร้อมส่งเพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและภูมิภาคใกล้เคียง
อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีการแข่งขันรับซื้อผลผลิตเพื่อสะสมเป็นสต็อกในการส่งออกอาจทำให้ความต้องการใช้บริการคลังสินค้ารัญพืชเพิ่มขึ้นข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ บริหารต้นทุนควบคู่กับการปรับตัวสู่ความยั่งยืน
1. ปรับรูปแบบเป็นคลังสินค้าสมัยใหม่ระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เทคโนโลยีในระบบจัดการต่าง ๆ เช่น การจัดวางสินค้าการลำเลียงสิบค้า เพื่อบริหารต้นทุนและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
2. พัฒนาธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหรือ ESG เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสอดรับกับเทรนด์ความต้องการของลูกค้าในตลาดโลก