environment

อัปเดตทิศทาง “ลานีญา” เตรียมรับมือ ฝนจะรุนแรงกว่าปีที่แล้วจริงหรือไม่?

    "ปรากฏการณ์ลานีญา" กำลังมา มีโอกาสสูง 70% ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมนี้ ส่งผลให้ฝนชุกกว่าปกติ

ประเทศไทยเตรียมรับมือ "ลานีญา"

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังเตรียมรับมือกับปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นั่นคือ "ปรากฏการณ์ลานีญา" น้องสาวของเอลนีโญที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน

 

"ลานีญา" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "น้องของเอลนีโญ" (El Niño's sister) หรือ "สภาวะตรงข้ามเอลนีโญ" (anti–El Niño) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรมีค่าต่ำกว่าปกติ เนื่องจากลมค้าตะวันออกเฉียงใต้มีกำลังแรงมากกว่าปกติ ส่งผลให้น้ำอุ่นถูกพัดพาไปสะสมทางตะวันตกมากขึ้น ทำให้บริเวณดังกล่าวซึ่งเดิมมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางตะวันออกอยู่แล้ว ยิ่งมีอุณหภูมิและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นไปอีก

ปรากฏการณ์ลานีญา มักเกิดขึ้นทุก 2-3 ปี และปกติจะคงอยู่ประมาณ 9-12 เดือน แต่บางครั้งอาจปรากฏอยู่ได้นานถึง 2 ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย

 

อัปเดตสถานการณ์สสภาวะลานีญา

ศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า ปรากฏการณ์เอนโซ (ENSO) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการเกิดลานีญา กำลังอยู่ในสภาวะปกติ แต่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง

โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติและแบบจำลองเชิงพลวัต พบว่า มีความน่าจะเป็นถึง 70% ที่ปรากฏการณ์เอนโซจะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญา ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2567 และอาจต่อเนื่องไปจนถึงช่วงพฤศจิกายน 2567 ถึงมกราคม 2568

ข้อมูลจากการตรวจวัดอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเขตศูนย์สูตรในเดือนที่ผ่านมาพบว่า มีอุณหภูมิเย็นลงเกือบทั่วทั้งบริเวณ โดยมีค่าต่างจากค่าปกติประมาณ -0.1 ถึง 0.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของปรากฏการณ์ลานีญา

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าบริเวณอุณหภูมิน้ำทะเลที่ต่ำกว่าค่าปกติยังคงอยู่บริเวณด้านตะวันออกของมหาสมุทร และขยายพื้นที่ขึ้นมาที่พื้นผิวของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ส่วนที่ระดับลึกบริเวณตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกแถบศูนย์สูตร อุณหภูมิน้ำทะเลยังคงต่ำกว่าค่าปกติ แต่ที่ระดับใกล้ผิวน้ำทะเลอุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นบ้างเล็กน้อย

 

ลักษณะดังกล่าวส่งผลให้ระบบการหมุนเวียนบรรยากาศที่ระดับ 850 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสคาล) หรือที่ความสูงประมาณ 1.5 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีลมตะวันออกที่มีกำลังใกล้เคียงกับค่าปกติพัดปกคลุมบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกแถบศูนย์สูตร

 

ในขณะเดียวกัน ลมที่ระดับ 200 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสคาล) หรือที่ความสูงประมาณ 11 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีลมที่มีกำลังแรงกว่าปกติพัดข้ามแถบศูนย์สูตรบริเวณด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกแถบศูนย์สูตร ซึ่งเป็นลักษณะที่สอดคล้องกับการเกิดปรากฏการณ์ลานีญา

 

ผลกระทบของลานีญาต่อประเทศไทย

ผลกระทบของปรากฏการณ์ลานีญาต่อประเทศไทยอาจเห็นได้ชัดในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2567 โดยอาจส่งผลให้ปริมาณฝนในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลการติดตามลมมรสุมพบว่า ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วงเดียวกันในปี 2534-2563 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของอิทธิพลจากลานีญา

 

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องติดตามปรากฏการณ์อื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อสภาพอากาศของไทย เช่น ปรากฏการณ์ Indian Ocean Dipole (IOD) และ Madden Julian Oscillation (MJO) อย่างใกล้ชิด เพื่อการคาดการณ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

 

ปรากฏการณ์ Indian Ocean Dipole (IOD) หรือดัชนีวัดค่าความผิดปกติของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดีย พบว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมายังคงมีสถานะปกติ โดยมีค่าดัชนีอยู่ที่ -0.33 องศาเซลเซียส แต่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นสถานะลบ (negative) ในเดือนกันยายนเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม คาดว่า IOD จะไม่ส่งผลต่อปริมาณฝนรวมบริเวณประเทศไทยในช่วงดังกล่าว

 

ส่วนปรากฏการณ์ Madden Julian Oscillation (MJO) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เกิดควบคู่กันระหว่างการไหลเวียนของบรรยากาศกับการยกตัวขนาดใหญ่ของอากาศในเขตร้อน พบว่าในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องไปถึงต้นเดือนสิงหาคม ปรากฏการณ์ MJO ยังคงมีกำลังอ่อน และเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกผ่านบริเวณ Maritime Continent ไปยังบริเวณ Western Pacific ซึ่งคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์ MJO จะไม่มีอิทธิพลต่อปริมาณฝนในช่วงดังกล่าว

 

นอกจากนี้ ลมมรสุมก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพอากาศในประเทศไทย จากดัชนีลมมรสุม WYMI WNPI และ ISMI ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าค่าเฉลี่ยดัชนีมรสุมแสดงให้เห็นลมตะวันตกเฉียงใต้มีค่ามากกว่าค่าปกติ ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณฝนที่สูงกว่าปกติในประเทศไทย

 

อย่างไรก็ตาม การเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่อาจแปรปรวน เช่น การเตรียมแผนรับมือน้ำท่วม การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับตัวในภาคการเกษตร จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้