เสียงโอดครวญ 'ยิ่งลักษณ์'
ความเป็นธรรมที่ถ่องแท้!!
ความพยายามออกมาโอดครวญและทิ่มแทงผู้มีอำนาจ ว่าถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม ใช้อำนาจพิเศษ มาตรา 44 ในการยึดทรัพย์จากผลพวงโครงการจำนำข้าว
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา ข้อความบางตอนว่า “หลายคนคงคิดว่าช่วงนี้ดิฉันทำไมเงียบหายไป ยังมีความสุขดีอยู่มั้ย บางครั้งการพยายามไม่คิดมาก ทำใจให้สงบ มีความสุขก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ความสุขเหล่านั้นก็อยู่บนความสุขที่หน้าชื่นอกตรม เพราะนอกจากตัวเองจะต้องพลัดพรากจากลูก จากครอบครัวและจากพี่น้องประชาชนมาอยู่ต่างแดนแล้วยังต้องสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน บัญชีธนาคาร รวมถึงทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่ตนเองหามาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนมาเป็นนายกรัฐมนตรี และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตอบแทนดิฉัน
ดิฉันสูญเสียบ้านที่ถูกยึดและขณะนี้ทรัพย์สินของดิฉันก็กำลังถูกกรมบังคับคดีประมูลชิ้นต่อชิ้น ดิฉันใช้ข้อต่อสู้ทางกฎหมายทุกรูปแบบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ เพราะนายกรัฐมนตรีชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยึดอำนาจ และจนถึงปัจจุบันมาตรา 44 ก็ยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกคนจึงเร่งดำเนินการกับคดีดิฉัน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วคดีต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองที่ถึงที่สุดว่าดิฉันแพ้คดีก่อน จึงจะสามารถนำทรัพย์เหล่านั้นมาขาย ทอดตลาดได้ เป็นการถูกกระทำที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์ ซึ่งการนำเอาข้ออ้างของมาตรา 44 มาอยู่เหนือคำพิพากษาของศาลนอกจากไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครแล้ว ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลกระทบของการใช้ มาตรา 44 ให้มีอำนาจเหนือรัฏฐาธิปัตย์ถือเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย
“วันนี้ดิฉันเองจึงอยากจะขออนุญาตเล่าความในใจว่า ดิฉันเองจะต้องต่อสู้เรื่องของการถูกประมูลทรัพย์สินทุกชิ้นที่หามาด้วยนํ้าพักนํ้าแรง มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจนัก แม้กระทั่งทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ให้มา ดิฉันก็ไม่สามารถที่จะปกป้องเอาไว้ได้”
ยกข้อความมาให้เห็นกันชัดๆ อีกที ซึ่งมีทั้งเป็นไปตามข้อเท็จจริงและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง!!
ลองไล่ย้อนกลับไปดู กรณีการยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ เป็นไปตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 เมื่อผลสอบออกมาต้องรับผิดคดีจำนำข้าว ก็ต้องมีการออกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการขณะนั้นให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้เพียง 20 % ทั้งที่ควรชดใช้เต็มจำนวนที่สอบสวนแล้ว กว่า 2 แสนล้านด้วยซํ้า
คราวนี้เมื่อไม่ยอมใช้ตามเวลาที่กำหนด ทางราชการสามารถใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ตามมาตรา 58 ของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ซึ่งก็ไม่ได้ใช้มาตรา 44 คำสั่งหัวหน้าคสช.ในการยึด อายัดแต่อย่างใด
กรณีใช้มาตรา44 กับกรณีนี้นั้น ใช้ในด้านแต่งตั้งผู้มีอำนาจ ใช้มาตรการบังคับทางปกครอง เพราะตามกฎกระทรวงฉบับที่ 9 ไม่ได้กำหนดผู้มีอำนาจบังคับทางปกครอง กรณีผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีไว้ เพราะกำหนดเพียงปลัดกระทรวง ให้มีอำนาจใช้มาตรการกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น มาตรา 44 จึงใช้ในการแต่งตั้งกรมบังคับคดี เป็นผู้มีอำนาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึดอายัดขายทอดตลาดทรัพย์สินได้เท่านั้น
ส่วนกรณีฟ้องศาลปกครองนั้น ผู้ที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นยิ่งลักษณ์เป็นผู้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้สินไหมทดแทน. และตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครอง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า การฟ้องคดีไม่เป็นเหตุทุเลาการบังคับตามคำสั่ง เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีจึงยังดำเนินการต่อไปได้
การดำเนินการตามกฎหมายจึงต้องดำเนินการต่อ โดยไม่ต้องรอให้ศาลจบคดีตามกฎหมาย และการขอทุเลาคำสั่ง ยึดอายัดต่อศาลปกครองนั้นศาลปกครองก็ไม่รับทุเลาคำฟ้องของอดีตนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด
ส่วนการใช้ มาตรา 44 เพื่อคุ้มครองการกระทำของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินการชำระสะสางโครงการจำนำข้าวนั้นมีอยู่จริง แต่ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ราชการที่กระทำโดยสุจริตเท่านั้น จึงจะได้รับความคุ้มครอง
หากอดีตนายกฯ เห็นว่าเจ้าหน้าที่กระทำโดยไม่สุจริตเจตนากลั่นแกล้ง มาตรา 44 ก็คุ้มครองไม่ถึงอยู่ดี
การออกมาโอดครวญของอดีตนายกฯ จึงเป็นเพียงการทิ่มแทงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์สร้างภาพตอกย้ำเผด็จการใช้อำนาจไม่ชอบ ชิ่งไปหากระบวนการยุติธรรม เจือสมไปกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนตรงข้ามรัฐบาล
ปูทาง เจาะเรือ ทำลายความชอบธรรม !!
ก่อนให้ลิ่วล้อขย่มซํ้า และเริ่มโผล่ให้เห็นกรณีขายข้าวดีเป็นข้าวเน่า
หวังแซะไปเรื่อย เดี๋ยวเรือก็รั่ว แล้วก็ล่ม...
แต่การโอดครวญของอดีตนายกฯ จำต้องพิจารณาให้ถ่องแท้
เป็นความถ่องแท้ในความเป็นธรรมกับประเทศชาติที่เป็นผู้เสียหายด้วย !!