.....ในขณะที่แต่ละประเทศกำลังหัวหมุนวุ่นวายอยู่กับการหาทางออกให้กับปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับประเทศตัวเอง แต่ตลาดหุ้นก็ยังต้องมาติดหล่มเพราะลูกพี่ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา กลับพาโลกวุ่นวายอยู่กับการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยการใช้วิธีป่วนโลกด้วยการพยายามจะจุดความขัดแย้งครั้งใหม่กับประเทศจีนขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการกล่าวหาว่าจีนเป็นประเทศที่จงใจในปล่อยให้ไวรัสโคโรนาที่เป็นต้นเหตุของโรคโควิด-19 หลุดออกมาจากห้องทดลองจนกระจายไปทั่วโลก
.....หรือการที่สหรัฐ ขายอาวุธร้ายแรงให้กับไต้หวัน หรือแม้แต่กรณีแสดงความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายเรื่องกิจการภายในของฮ่องกง ซึ่งการสร้างเรื่อง...สร้างข่าวรายวันขึ้นในลักษณะนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะครองพื้นที่สื่อ และเพื่อการสร้างส่วนร่วมในภาวะสงครามทางความรู้สึกของประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นยุทธวิธีในการหาเสียง เพื่อการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งสิ้น เจ๊เมาธ์ก็คงต้องเตือนว่าให้ตามข่าวด้วยความระมัดระวังนะคะ ที่เขาว่า ช้างสารชนกัน...หญ้าแพรกก็แหลกลาญ มันก็เป็นแบบนี้นั่นหละค่า
.....ในที่สุดทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ปรับลดดอกเบี้ยลงไปอีก 0.25% ทำดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทย เหลือเพียงแค่ 0.5% ซึ่งกลายเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่ว่าการลดดอกเบี้ยก็ทำให้มีหุ้นหลายตัวที่ได้อานิสงส์ในทางบวกนะคะ ที่ได้แน่ๆ ก็คือหุ้นในกลุ่มลีสซิ่งอย่าง MTC กับ SAWAD สาเหตุก็เพราะว่านอกจากหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง ที่เป็นบริษัทผู้ปล่อยเงินกู้ให้กับผู้กู้รายย่อยทั่วไป ทั้ง 2 บริษัทยังเป็นผู้กู้ หรือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน เพราะกู้เงินมาลงทุนด้วยนะคะ ดังนั้นเมื่อ กนง. ลดดอกเบี้ยลง 0.25% นั่นก็หมายความว่าภาระที่จะต้องจ่ายหนี้คืนให้กับสถาบันการเงินก็หายไป 0.25% ด้วยหละค่า แบบนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีรายได้เพิ่มจากการปล่อยกู้ แต่ก็มีต้นทุนที่ลดลงจากการจ่ายหนี้ที่ต่ำลง มันก็หมายถึงการมีกำไรที่มากขึ้นด้วยยังไงหละค่ะ แบบที่เขาเรียกว่าอยู่เฉยๆ ก็รวยได้นั่นหละค่า
.....ราคาหุ้นของ STA วิ่งทำนิวไฮไม่หยุด ภายหลังการแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 ออกมาสูงถึง 854 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทำกำไรภายหลังจากที่ไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว บริษัทฯ เคยขาดทุนไปถึง 627 ล้านบาท ทั้งนี้ก็มาจากสินค้าหลักของ STA ซึ่งก็คือถุงมือยางทางการแพทย์กำลังกลายเป็นสินค้า ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ในขณะนี้ ในขณะที่ 80% ของยอดขายทั้งหมดก็มาจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะขายได้มาร์จิ้นที่สูงแล้ว การที่เงินบาทอ่อนค่าลงจากการลดดอกเบี้ยของ กนง. และสินค้าที่ยังเป็นที่ต้องการของตลาดจากภาวะของโรคระบาด ก็จะส่งผลให้รายได้และกำไรในไตรมาสที่ 2/63 ของบริษัทฯ ก็ยังจะดูดีไม่แพ้ไตรมาสที่ 1/63 อย่างแน่นอน ของดีๆ เจ๊เมาธ์ก็ไม่พลาดที่จะเอามาเล่าให้ฟังค่ะ อยากบอกว่าเจ๊ไม่ได้ด่าเป็นอย่างเดียวค่า
.....ส่วนทาง MINT รายนี้ก็เร่งเพิ่มทุนกันใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,037 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ในอัตรา 6.45 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ออกหุ้นกู้จำนวน 25,000 บาท รวมไปถึงการออก MINT-W7 ในอัตราส่วน 17 หุ้นเดิมต่อ 1 วอแรนท์ ซึ่งการเร่งเพิ่มทุนภายหลังจากการแจ้งผลการดำเนินงานที่ขาดทุนถึง 1,773 ล้านบาท ในไตรมาส 1/63 ของ MINT ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเดินเกมในเชิงรุกมาก เนื่องจากเป็นที่คาดการได้ว่าผลการดำเนินการของหุ้นในกลุ่มร้านอาหารและโรงแรมไม่น่าจะฟื้นตัวได้ภายใน 2-3 ไตรมาสนี้ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2/63 พบว่าโอกาสที่ MINT ยังจะขาดทุนต่อไปอีกยังมีค่อนข้างสูง
.....ดังนั้นถ้า MINT ไม่ฉวยโอกาสเสริมสภาพคล่องเอาไว้ตอนนี้ แล้วไปทำหลังจากนี้ ก็คงไม่ทัน หรืออาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นไปได้ แต่ยังไงก็ตามถ้าหากเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน MINT ยังถือได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจ เพราะอย่างน้อยด้วยค่า P/E ที่ต่ำเพียงแค่ 9.30 เท่า ก็ยังดูดีกว่าหุ้นที่มีค่า P/E ด้วยเลข 2-3 ตัวอย่างแน่นอน
.....ในที่สุด “การบินไทย” (THAI) ก็จะเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการด้วยกระบวนการทางศาล แต่ที่เจ๊เมาธ์แปลกใจสุดๆ ก็เรื่องของการไล่ราคาหุ้นของ THAI ที่ลากเอาแมงเม่าน้อยทั้งหลายให้ขึ้นดอยไปเพราะเห็นราคาหุ้นที่วิ่งชนซิลลิ่งล่อตาล่อใจหลายๆ รอบนั่นหละค่า เจ๊อยากจะขอเตือนว่าหุ้นที่จะเข้ากระบวนการฟื้นฟูเป็นหุ้นที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งด้วยประการทั้งปวงนะคะ แล้วยิ่งตอนนี้กองทุนวายุภักษ์เคาะราคาซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลังที่ 4.33 บาท ไปเรียบร้อย...นั่นก็หมายความว่าหมดเวลาของการไล่ราคาแบบไม่มีเป้าหมายกันแล้วค่ะ เม่าน้อยทั้งหลายรับรู้กันให้ทั่วนะเจ้าค่ะ