คอลัมน์เศรษฐทัศน์ โดย รศ.(พิเศษ) ดร.กฤษฎา เสกตระกูล รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,601 หน้า 5 วันที่ 16 - 19 สิงหาคม 2563
การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยที่ผ่านมามีส่วนทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมากมาย ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเรื่อง อากาศ การลดลงของประชากรสัตว์ป่า การทำลายป่า การชะล้างพังทลายของดิน การขาดแคลน นํ้า และปัญหาขยะ เป็นต้น มีการคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายด้านมลพิษทางอากาศและนํ้าของประเทศมีขนาดสูงถึง 1.6-2.6% ของ GDP ต่อปี
ข้อมูลเรื่อง Environment issues in Thailand ใน Wikipedia ได้สรุปข้อมูลสภาพปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของไทยไว้อย่างน่าสนใจและหลายประเด็น ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1) ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate change)
จากข้อมูลวิจัยพบว่า อุณหภูมิของประเทศไทยสูงขึ้นในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยรายงานว่า อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีของประเทศไทยสูงขึ้นประมาณ 0.95 องศาเซลเซียสจากปี พ.ศ. 2498 ถึง พ.ศ. 2552 มากกว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ย 0.69 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัดในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครมีจำนวนวันเพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ. 2503 มีจำนวน 193 วันต่อปี ที่มีอุณหภูมิเท่ากับหรือสูงกว่า 32 องศาเซลเซียส ขณะที่ในปัจจุบันมีจำนวนวันเพิ่มขึ้นเป็น 276 วัน และหากไม่มีการแก้ไขอะไรภายในปี พ.ศ. 2643 จะมีจำนวนวันดังกล่าวสูงระหว่าง 297 ถึง 344 วัน ซึ่งสภาพความร้อนดังกล่าวจะกระทบต่อความแห้งแล้งทั้งบนบกและในทะเล ส่งผลต่อเนื่องถึงความมั่นคงด้านอาหารของประเทศไทยในอนาคต
หากวัดผลการเกิดปัญหาโลกร้อนจากประเทศไทย โดยดูจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อคน พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 0.14 ตันในปี พ.ศ. 2503 เป็น 4.5 ตันในปี พ.ศ. 2556 ในขณะที่ประชากรของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 27 ล้านคน เป็น 67 ล้านคนในช่วงเวลาเดียวกัน
2) ปัญหาเพิ่มขึ้นของระดับ นํ้าทะเล (Rising sea level)
ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ประมาณการว่าชาย ฝั่งทะเลของไทยถูกกัดเซาะทุกปี โดยนํ้าทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ทำให้สูญเสียพื้นที่ชายฝั่งประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรทุกปี ข้อมูลจากการวิจัยของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประมาณการว่า หากไม่มีการแก้ไขแล้ว ระดับนํ้าทะเลจะสูงขึ้นจากปัจจุบัน 1 เมตร ภายใน 40-100 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้พื้นที่ชาย ฝั่งของไทยหายไปไม่ตํ่ากว่า 3,200 ตารางกิโลเมตร กระทบต่อการอยู่อาศัยและการทำมาหากินกับประชากรไม่ตํ่ากว่า 11 ล้านคนหรือ 17% ของประชากรทั้งหมด
นอกจากนํ้าทะเลที่มีระดับสูงขึ้นแล้ว การดึงนํ้าใต้ดินมาใช้อย่างมากในเขตเมืองอย่างกรุงเทพมหานครและการก่อสร้างตึกสูงยังทำให้พื้นดินทรุดลง คาดการณ์ว่าพื้นดินของกรุงเทพมหานคร ทรุดตัวลงประมาณ 3 เซ็นติเมตรทุกปีข้อมูลจากสภาปฏิรูปแห่งชาติของไทย ประเมินว่าหากไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรุงเทพมหานครมีโอกาสถูกนํ้าทะเลเข้ามารุกลํ้าได้ภายในปี พ.ศ. 2673
3) ปัญหาการลดลงของพื้นที่ป่าไม้ (Deforestation)
พื้นที่ป่าไม้ของไทยลดลงเรื่อยๆ จากการบุกรุกพื้นที่ทำการเกษตร และการตัดไม้ทำลายป่า ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ประมาณการว่าในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยเคยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ถึง 53% ของพื้นที่ประเทศ และได้ลดลงเหลือเพียง 31% ในปี พ.ศ. 2558 นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากการวิจัยในเชิงเปรียบเทียบว่าพื้นที่สีเขียวจากป่าเทียบต่อประชากร 1 คน ของประเทศไทยมีค่า เพียง 3 ตารางเมตรต่อคน ในขณะที่ สิงคโปร์สูงถึง 66 ตารางเมตรต่อคนและมาเลเซียเท่ากับ 44 ตารางเมตรต่อคน
ปัญหาการลดลงของพื้นที่ป่าไม้ยังทำให้เกิดความแห้งแล้งและกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและทางเศรษฐกิจตามมา นอกจากนี้ทำให้เกิดความรุนแรงมากของกระแสนํ้าเมื่อเกิดอุทกภัย ส่งผลต่อความเสียหายอย่างมากต่อประเทศ แม้แต่ป่าชายเลนก็มีปัญหาการลดลงของพื้นที่เช่นกัน ทำให้ทรัพยากรชายฝั่งสูญเสียไป เนื่องจากสัตว์นํ้าขาดที่อยู่อาศัยและไม่สามารถเพาะพันธุ์และอนุบาลตัวอ่อนในธรรมชาติได้ รวมทั้งเกิดการพังทลายของดิน นํ้าทะเลจึงรุกลํ้าได้ง่าย
4) ปัญหาการเพิ่มขึ้นของมลพิษทางอากาศ (Air pollution)
ข้อมูลจากธนาคารโลก ประมาณการว่าการเสียชีวิตของคนไทยจากมลพิษทางอากาศสูงขึ้นจาก 31,000 คน ในปี พ.ศ. 2533 เป็น 49,000 คน ในปี พ.ศ. 2556 สาเหตุสำคัญมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีประชากรประมาณ 20% ของประเทศอยู่กันอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ดีในปัจจุบันยังเผชิญกับปัญหาใหม่คือ เรื่อง ฝุ่น PM 2.5 ในอากาศ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไฟป่า และการเผาวัชพืชทางการเกษตร ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะเมืองใหญ่กระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นจำนวนมาก
สภาพปัญหามลพิษทางอากาศยังมาจากการขนส่งในยานพาหนะต่างๆ ที่ปล่อยฝุ่นละอองพิษจากการสันดาปเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ รถบรรทุก และรถมอเตอร์ไซด์ เป็นต้น การตรวจสอบคุณภาพอากาศพบว่ายังไม่พัฒนาการไป ในทางที่ดี ปัญหายังคงอยู่และมีแต่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2559 ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำสถิติปริมาณฝุ่นละอองสูงถึง 410 มก./ลูกบาศก์เมตร ในอากาศ รวมทั้งในเมืองอื่นๆ ก็มีค่าสูงเช่นกัน เกินกว่าระดับมาตรฐานของ PM 2.5 ที่มีค่าเพียง 25 มก./ลูกบาศก์เมตร ไปอย่างมาก สถานการณ์ดังกล่าวสามารถเป็นอันตรายต่อระบบเลือด ระบบหายใจ รวมทั้งมีโอกาสที่ประชาชนจะเป็นมะเร็งได้สูง
5) ปัญหาการเพิ่มขึ้นของนํ้าเสีย (Water pollution)
ประเทศไทยในทุกภูมิภาคมี ลุ่มแม่นํ้าจำนวน 25 แห่ง และมีปริมาณนํ้าฝนต่อปีประมาณ 1,700 mm. ซึ่งได้จากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เป็นหลักทุกปี อย่างไรก็ดีประเทศไทยถือว่าขาดความอุดมสมบูรณ์ของนํ้า คาดการณ์ว่าประเทศไทยมีความต้องการใช้นํ้าอุปโภคบริโภคต่อปีประมาณ 152 พันล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่อุปทานนํ้ามีเพียง 112 พันล้านลูกบาศก์เมตร โดยภาคเกษตรต้องการใช้นํ้าประมาณ 75% ภาคครัวเรือน 18% การรักษาสิ่งแวดล้อม 15% ส่วนภาคอุตสาหกรรมต้องการใช้นํ้าเพียง 3% เท่านั้น
อย่างไรก็ดีนํ้าเสียจากอุตสาห กรรมได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อแหล่งนํ้าโดยรวมซึ่งทุกภาคส่วนต้องใช้ร่วมกัน นํ้าเสียสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคผิวหนัง โรคมะเร็งผิวหนัง และความผิดปกติของทารกที่เกิด เช่น สารตะกั่วในนํ้าที่สตรีมีครรภ์บริโภคอาจทำให้เกิดดาวน์ซินโดรมในเด็กได้ ในกรณีผู้ใหญ่ก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนถึงเสียชีวิตได้
นอกจากนี้นํ้าเสียจากบ้านเรือนโดยเฉพาะชุมชนแออัดในเมือง ก็มีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อมไปเช่นกัน กรุงเทพ มหานครที่เคยถูกขนานนามว่า เวนิสตะวันออก กลายเป็นตำนานเท่านั้น เพราะนํ้าในคูคลองสกปรกมีกลิ่นเหม็นจนไม่น่าพิสมัยหากจะใช้สัญจรหรือชมเมือง ส่วนภาคเกษตรที่ใช้นํ้ามากที่สุด ก็ใช้สารเคมีที่เมื่อไหลลงสู่แหล่งนํ้าก็ทำให้คุณภาพของนํ้าแย่ลงจนเป็นปัญหาร่วมกับต้นตออื่นๆ ที่ยังรอวันแก้ไข
6) ปัญหาขยะล้นประเทศ (Waste management)
จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ประมาณการว่าคนไทย 1 คนสร้างขยะ 1.15 กิโลกรัมต่อวัน ทำให้เกิดปริมาณขยะ 73,000 ตันต่อวันทั่วประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2559 คาดว่าปริมาณขยะต่อปีทั่วประเทศสูงถึง 27 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 4.2 ล้านตัน เป็นขยะจากกรุงเทพมหานคร ปริมาณขยะแบบมหึมานี้ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกนำมาจัดการให้ถูกต้อง ถูกทิ้งให้เป็นภูเขาขยะก่อให้เกิดกลิ่นรบกวนเป็นมลพิษทางอากาศในลักษณะหนึ่ง และเมื่อเกิดฝนตกก็ถูกชะล้างและนำสารพิษลงสู่แหล่งนํ้าอีกทางหนึ่งด้วย ข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษยังเปิดเผยอีกว่า ขยะอินทรีย์มีปริมาณ 64% ของขยะทั้งหมด ซึ่งเป็นอาหารที่ถูกทิ้งขว้าง ขณะที่เด็กที่ขาดอาหารของไทยมีไม่ตํ่ากว่า 400,000-600,000 คน สะท้อนว่าคนไทยยังใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยขาดประสิทธิภาพ
ในขณะที่ขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็เพิ่มขึ้นโดยตลอด ณ ปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยมีขยะพลาสติกประมาณ 2 ล้านตัน ซึ่งนำมาหมุนเวียนใช้ใหม่เพียง 500,000 ตันเท่านั้น แม้จะมีการรณรงค์ลดใช้พลาสติกแล้วก็ตามปัญหาขยะพลาสติกยังลามเข้าไปในแม่นํ้าและทะเล นอกจากเป็นอันตรายต่อสัตว์นํ้าแล้ว การย่อยสลายเป็นนาโนพลาสติกยังเข้าไปอยู่ในร่างกายสัตว์นํ้า และเมื่อคนนำมาบริโภคก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อไปอีก
สำหรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ถือว่าเป็นขยะอันตราย ซึ่งต้องมีการควบคุมอย่างมากในการกำจัด อุตสาหกรรมที่สร้างผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้นมาต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมในการสนับสนุนให้มีการกำจัดให้ถูกวิธี และควรมีการห้ามที่จะนำเข้าขยะเหล่านี้มาจากต่างประเทศ เพราะไทยไม่ใช่ดินแดนที่จะนำขยะเหล่านี้มาทิ้งหรือทำลาย จากสถิติพบว่าในปี พ.ศ. 2561 ไทยมีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอ นิกส์อย่างถูกกฎหมายถึง 53,000 ตัน
จะเห็นได้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไทยเผชิญอยู่ยังมีอีกมาก และเป็นปัญหาเข้าขั้นรุนแรง การแก้ไขก็กำลังรอคอยอย่างเร่งด่วน วิถีใหม่ไทยแลนด์หลัง COVID-19 แม้ว่าการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนจะเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ แต่ก็ควรวาง Roadmap เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวของสภาพแวดล้อมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของประเทศไทยที่รักของเรา