**** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับ 3628 ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย.2563 เข้มทุกบรรทัด แน่นทุกคอลัมน์พบกันเช่นเคย... ทำท่าจะโงหัวสำหรับเศรษฐกิจไทย เมื่อสภาพัฒน์แถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ล่าสุด ติดลบ 6.4% จาก ติดลบ 12.1% ในไตรมาส 2 เรียกว่าดีขึ้นโดยลำดับ ผ่านมา 9 เดือนติดลบอยู่ที่ 6.7% และปรับคาดการณ์ทั้งปีใหม่อยู่ที่ติดลบ 6% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมมากมายทีเดียว จากเดิมคาดว่าจะลบมากกว่า 8% ในช่วงที่ผ่านมาเผชิญพิษภัยโควิด ทำให้การส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักชะลอตัวลงไป แต่ค่อยๆ ปรับดีขึ้นส่งออกก็จะติดลบน้อยลงกว่าคาด เครื่องยนต์ที่มาขับเคลื่อนแทนระยะหลังนี้ เป็นการลงทุนภาครัฐที่โตขึ้น 18.5% ก็ต้องประคับประคองกันไป หลังจากรัฐลงทุนแล้วมีวี่แววเศรษฐกิจขยับตัวดีขึ้นถัดไปก็ต้องเป็นการลงทุนของเอกชนที่จะตามมา ถ้าเป็นไปตามภาพนี้โอกาสเศรษฐกิจไทยก็โงหัวได้ ปีหน้าจะพาให้โตได้ถึง 4% ทั้งหมดต้องช่วยกันลดปัจจัยเสี่ยงกันหน่อย โดยเฉพาะปัจจัยในประเทศที่จะควบคุมกันได้บ้าง
***** น่าห่วงที่สุดตรงความขัดแย้งแตกแยก สภาฯ กำลังพิจารณาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าทุกฝ่ายไม่ตั้งเงื่อนไขเพิ่มและสามารถพูดคุยเจรจากันได้ นำไปสู่กระบวนการแก้ไข แต่จะแก้อย่างไรจะตั้ง สสร.มาแก้ การเลือกสสร.จะเอาแบบไหน ก็ต้องถกเถียงกันให้สะเด็ดน้ำ ฝ่ายผู้ชุมนุมก็น่าจะผ่อนเงื่อนไขลงมาบ้าง จะเอาอย่างไรก็ว่ากันในเวที ว่ากันตามกติกา
***** นานๆ มาทีพูดน้อยต่อยหนัก และทัวร์น่าจะลงกระหน่ำสำหรับ ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกผู้นำหลายประเทศในอาเซียนในการประชุมซัมมิตทางไกลที่ผ่านมา ชื่นชมไทยแก้โควิด-19 ได้ดี แต่หลายคนแปลกใจไทยทำไมไม่ได้รับการยกย่อง ก็ชี้แจงไปว่า คนไทยไม่เหมือนคนที่อื่น เนื่องจากคนในประเทศอื่นรับรู้ว่าผลงานคืออะไร ผลที่ตกอยู่กับประชาชนได้รับอะไร และในช่วงนี้ประชาชนคนไทยมองอีกมุม มองว่าเป็นเรื่องการช่วงชิงอำนาจ ไม่มีอย่างอื่น ที่ประชุมอาเซียนไม่ได้แตะเรื่องภายในของประเทศไทย แต่ต่างชาติเองรู้ว่ามีการออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ได้เน้นย้ำไปอีกครั้งว่า เป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจ และเป็นการเมืองแบบไทยที่ทำมากันแต่ไหนแต่ไรอยู่กับพวกนี้มาตลอด
***** “คนละครึ่ง” เฟส 2 ยังไม่ทันมา อาคม เติมพิทยาไพศิฐ รมว.คลังบอกวุฒิสภาจะเข็นเฟส 3 ออกมาแล้ว นัยว่าเพื่อเติมเงินให้กับฐานราก ว่าแต่ว่าช่วยกลับไปดูเฟส 1 ก่อน และปิดจุดอ่อนเสีย แม้จะได้รับเสียงชื่นชมทั้งคนซื้อคนขาย แต่ก็มีหลายคนแอบเห็นการรั่วไหล เบิกเงินสดจากร้านค้า ตามไปดูหน่อย อย่าให้เกิดช่องว่างเม็ดเงินรั่วไหล ที่สำคัญต้องดูการค้า การขายในต่างจังหวัดให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ให้ไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นหรือไปลงในส่วนของอบายมุขอื่นใด
***** มาแล้วโรงไฟฟ้าชุมชน เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประธาน ล่าสุดเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เป้าหมาย 150 เมกะวัตต์ (ชีวมวล 75 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ 75 เมกะวัตต์ ) โดยใช้ชีวมวลและก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน ผสมน้ำเสีย/ของเสีย ≤ 25 %) แบ่งเป็นชีวมวล มีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 6 เมกะวัตต์ต่อโครงการ และก๊าซชีวภาพ ไม่เกิน 3 เมกะวัตต์ต่อโครงการ กำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 36 เดือน จากวันลงนามในสัญญาฯ ให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) แบบแข่งขันทางด้านราคา โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้เสนอโครงการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ อาทิ การให้หุ้นบุริมสิทธิ 10% ให้กับวิสาหกิจชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นผู้ปลูกพืชพลังงานให้แก่โรงไฟฟ้า การให้ผลประโยชน์อื่น ๆ ให้โรงไฟฟ้าและชุมชนทำความตกลงกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม
***** ดูๆ ไปก็คงได้แต่เพียงเท่านี้ อันที่จริงโครงการนี้ถ้าคิดดีๆ ต่อยอดเป็น จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนได้ ด้วยการปลูกพืชพลังงานขายให้โรงไฟฟ้า ชาวบ้านชุมชนมีรายได้แน่นอนเป็นหลักประกันในการเพาะปลูก ไม่ต้องพึ่งตลาดและตามฤดูกาลเหมือนปลูกข้าวที่ราคาตกเอาๆ ในตอนนี้ แต่ก็อย่างว่าพลังงานยุคนี้อาจเห็นว่าซื้อไฟฟ้าจากชาวบ้าน อาจมีความเสี่ยงในแง่ผลิต หรือไฟฟ้าที่มีอยู่อาจล้นเกินกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจึงเคาะเอาแค่นี้สำหรับการซื้อไฟฟ้าจากชาวบ้าน ก็ได้เท่านี้แหล่ะ
***** ธุรกิจที่ได้รับการจับตามองหนีไม่พ้นขนส่ง ด้วยการเติบโตของการค้าขายออนไลน์อีคอมเมิร์ซ โซเชียล คอมเมิร์ซต่อเนื่องและสถานการณ์โควิด-19 คนอยู่กับบ้านมากขึ้น เคอรี่เอ็กเพรส KEX ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทัพย์ นับหนึ่งเรียบร้อย ตอนนี้มีจุดให้บริการ 15,000 จุดทั่วประเทศ มีศูนย์กระจายพัสดุ 1,200 แห่งทั่วประเทศ โดยเสนอขายไอพีโอ 300 ล้านหุ้น ต้องยอมรับธุรกิจด้านนี้โตจริงๆและนั่นก็หมายถึงผลคุกคามไปยังเจ้าเดิมๆ ที่ยังไม่มีการปรับตัว
***** ไก่อารมณ์ดี PAULDY จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบสท์โพลทรี จำกัด ทายาท ดร.ปัญญา และ ดร.มนูญศรี โชติเทวัญ ผู้ก่อตั้งบริษัท สหฟาร์มจำกัด ผู้ผลิตและส่งออกไก่ระดับโลก และอยู่คู่คนไทยมากว่า 6 ทศวรรษ ชื่อนี้ไม่ธรรมดาในวงการค้าไก่ ล่าสุดผุดแบรนด์ PAULDY หรือ พอลดีย์ ผลิตภัณฑ์จากฟาร์มไก่อารมณ์ดี สินค้าสด สะอาด ปลอดภัย บรรจุจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ในฟาร์มไก่ ยังเปิดเพลงให้ไก่ฟังทุกวัน ทำให้เป็น “ไก่ที่มีอารมณ์ดี สุขภาพแข็งแรง” ไม่จำเป็นต้องใช้สารเร่งการเจริญเติบโตหรือยาปฏิชีวนะใดๆ โรงงงานได้ทั้งมาตรฐาน GMP,HACCP และ HALAL แต่สินค้าพอลดีย์ไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป เพราะเพื่อลดการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้า จึงเน้นการผลิตและบรรจุสำเร็จจากโรงงาน และส่งตรงถึงบ้านผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น...