ช็อค... พลิกล็อคศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา ตุลาการเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ละเมิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ครม.ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ
ตามขั้นตอนดำเนินการให้มี “ครม.ชุดใหม่” ไม่เกิน 35 คน โดยมาตรา 159 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี รายละเอียดต่างๆ ไม่ขอกล่าวในที่นี้เพราะปรากฏเป็นกระแสข่าวอยู่ในสื่อต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
หลังจากนี้จะเข้าสู่สุญญากาศทางการเมือง ทางเลือกของพรรคเพื่อไทย มีไพ่เล่นจากนายกฯ แคนดิเดตคือ คุณแพทองธาร ชินวัตร กับ คุณชัยเกษม นิติสิริ แต่นโยบายและการขับเคลื่อนรัฐบาลคงไม่สะดุดมากนัก เพราะยังใช้ผู้กำกับการแสดงคนเดิม
ขณะที่ คุณอนุทิน ชาญวีรกุล จากพรรคภูมิใจไทย อาจเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่มีทางออก และต้องไม่ลืม บิ๊กตู่ และ บิ๊กป้อม ตามรัฐธรรมนูญยังอยู่ในแคนดิเดต สามารถเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้เช่นกัน การเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรคประชาชนยังจำชื่อหัวหน้าพรรคไม่ค่อยจะได้ อยู่ระหว่างสร้างบ้านใหม่จะเป็นตัวแปรสำคัญ ทั้งหมดเป็นประเด็นการเมืองแบบไทยๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
โจทย์ท้าทายรัฐบาลใหม่ คือ เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความเสี่ยง ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ที่เศรษฐกิจโลกมีความอ่อนแอ และไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล ซึ่งพร้อมปะทุได้ทุกเวลา
มีตัวแปร คือ สหรัฐอเมริกา ที่ส่งกองกำลังพร้อมรบเข้าไปในพื้นที่ ทั้งนี้บริเวณตะวันออกกลางคือแหล่งผลิตน้ำมันใหญ่ของโลกส่งผลต่อราคาน้ำมัน ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันนิวยอร์ก (WTI) ปรับขึ้น 5.57 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 และน้ำมันตลาดดูไบปรับเพิ่มขึ้นบาร์เรลละ 4.31 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 5.72 อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุล
ดอลล่าร์อ่อนตัวท่ามกลางเศรษฐกิจ ที่ไม่ค่อยจะดีกำลังซื้อหดตัวช่วง 7 เดือนครึ่งโรงงานปิดตัวมากกว่า 830 กิจการแต่เงินบาทไทยกลับแข็งค่าสูงสุดในรอบ 7 เดือน อยู่ที่ระดับ 34.863 บาท/ดอลล่าร์ (ณ 14 ส.ค. เวลา 15.00 น.)
ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลกช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.84 ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเก็งกำไร (Carry Trade Speculation) รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ จีน อียู ญี่ปุ่น และ อาเซียน ซึ่งเป็นคู่ค้าส่งออก “Top 5” ซึ่งกำลังมีปัญหาชะลอตัวมากกว่าที่คาด
ปัจจัยเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย ที่พึ่งพาการค้าโลกในสัดส่วนที่สูง เป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลใหม่ โดยยังไม่รู้ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี แล ะครม.ชุดใหม่ จะมีกึ๋นเข้ามาแก้ปัญหา
โจทย์ของรัฐบาลระยะสั้นจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ ทั้งภายในประเทศ และการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ตลอดจนการลงทุนในตลาดหุ้น รวมทั้งตลาดตราสารหนี้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมมูลค่ากว่า 5.3 แสนล้านบาท
รวมถึงการแก้ปัญหาสภาพคล่องและหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ ที่เป็นกับดักต่อการจับจ่ายใช้สอย การผลักดันสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs แทน “บสย.” เปลี่ยนรัฐบาลใหม่แล้ว
โครงการนี้รวมไปถึงโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต ใช้เงิน 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งยังมีปัญหามากมายจะลอยหายไปกับสายลม พร้อมกับรัฐบาลเศรษฐา หรือไม่คงต้องติดตาม
ประเด็นเร่งด่วนที่เป็นภัยคุกคามเซาะกร่อนกินถึงฐานรากเศรษฐกิจไทย ที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งแก้ไขคือ “ทุนจีน” ที่เข้ามากินรวบยึดตลาดค้าส่ง-ค้าปลีก ไปจนถึงร้านอาหารที่ติดป้ายภาษาจีน ที่ไปไหนก็เจอทั้งในเมืองและจังหวัดท่องเที่ยว
รวมไปถึง “ล้ง” รับซื้อสินค้าเกษตรที่ทุนจีนเข้าไปถึงในสวน-ในไร่ จนไปถึงส่งออกไม่เหลือก้างให้คนไทย
แม้แต่ธุรกิจเดินรถโดยสาร-รถบรรทุก ก็เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยกฎหมายมีข้อจำกัดก็ใช้ “นอมินี” ร่วมมือกับคนไทยขายชาติเป็นหุ่นเชิด ถามจริงๆ ว่า กลไกของรัฐทั้งกระทรวงแรงงาน ตม. และตำรวจรู้หรือไม่
ทุนจีนที่กำลังมาแรงแย่งอาชีพคนไทยในขณะนี้ คือ สินค้าราคาถูกจากจีนที่ “Over Supply” ที่ผลิตเกินความต้องการจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และบางส่วนถูกกีดกันจากประเทศตะวันตกไหลบ่าไปทั่วโลก ในอาเซียนไทยเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะตลาดไทยมีศักยภาพกอปรทั้งมีเส้นทางโลจิสติกส์ทั้งทางถนน และทางรางเชื่อมต่อกับจีน
ตลาดค้าปลีกที่ถูกรุกหนักเล่นงานทุกธุรกิจไทยเจ๊งระเนระนาด คือ การขยายสินค้าออนไลน์ผ่านแอพลิเคชั่นของจีน ซึ่งต่างแข่งขันลดราคาสู้กัน สินค้าที่ขายผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซขายทุกอย่าง ทั้งอุปโภคและ บริโภค แม้แต่ตัดเสื้อ-ตัดกางเกง-ตัดชุดฟอร์มของบริษัท/โรงงานต่างๆ ปักโลโก้ให้ฟรีไม่มีออเดอร์ขั้นต่ำ ราคาขายถูกเกือบครึ่งของราคาไทย แม้แต่ถ้วยชามดินเผาเจ้าใหญ่จังหวัดลำปางยังอยู่ยาก
ข้อมูลจากสมาคมที่เกี่ยวข้องกับเซรามิก-เครื่องเคลือบดินเผาระบุว่าที่จังหวัดลำปางแหล่งผลิตใหญ่ของไทยก่อนโควิด-19 ระบาด มีโรงงาน 328 กิจการ ปลายปีที่แล้วเหลือเพียง 89 โรงงาน เพราะสู้ราคาจีนไม่ไหว
คำถามคือ สินค้าจีนทั้งอาหารสำเร็จรูป ซึ่งต้องมี อย. แต่ก็ไม่มี สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์-เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ที่ชาร์จแบตเตอรี่ พาวเวอร์แบงค์ พัดลมตัวเล็กๆ ราคาตัวละ 39 บาท รวมค่าส่ง อีกทั้งสินค้าพวกนี้ต้องมีมาตรฐาน “มอก.” เข้ามาขายได้อย่างไร เคยเห็นที่ชาร์จแบตเตอรี่ระเบิดคาตามาแล้ว หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบไปอยู่ที่ไหนกันหมด
อีกประการหนึ่งสินค้านำเข้าเหล่านี้ต้องเสียภาษี ทั้ง อิมพอร์ตแท็ก ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ค้าต้องเสียภาษีรายได้บุคคล และภาษีนิติบุคคลขณะที่ธุรกิจไทยต้องมีมาตรฐานซึ่งได้มาอย่างยากลำบากต้องเสียภาษีทุกรูปแบบแล้วจะแข่งขันได้อย่างไร
เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นใครบ้าง รัฐมนตรีที่รับผิดชอบกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีกึ๋นหรือไม่ โดยเฉพาะต้องเห็นถึงความสำคัญของปัญหา เนื่องจากกลุ่มธุรกิจจีนพวกนี้ ตามกฎหมายไทย ธุรกิจที่ทำมาหากินต้องจดทะเบียนการค้ากับกระทรวงพาณิชย์ ต้องมีการร่วมทุนต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 49 หากเป็นรายบุคคลสัญชาติต่างด้าวธุรกิจค้าปลีก-เจ้าของกิจการ-ทำร้านอาหาร หรือ แม้แต่แผงลอยเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากเป็นแรงงานต่างด้าวไล่จับกันเป็นว่าเล่น
ขอให้มีมาตรการเข้มงวดและออกมาตรการต่างๆ เพื่อสกัดไม่ให้ทุนจีน ซึ่งไม่ใช่การลงทุนแบบถูกต้องเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย หากไม่รู้วิธีไปก็อบปี้มาตรการของอินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ ที่ออกมาปกป้องธุรกิจในประเทศแล้วนำมาปรับใช้
ทุนจีนที่เข้ามาปกติก็มากอยู่แล้วยิ่งมี “Free Visa” ยิ่งทะลักเข้ามาใหญ่ทำเป็นนักท่องเที่ยว หรือ ติดตามลูกเข้ามาเรียนบางรายเข้ามาเรียนภาษาระยะสั้น ไม่ยอมกลับอยู่กันทั้งครอบครัว คนเหล่านี้เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยปล่อยไว้ธุรกิจต่างๆ ทั้งค้าปลีกและโรงงาน-ร้านอาหารของไทย จะเจ๊งกันแบบยกแผงเป็นการทำลายแหล่งจ้างแรงงานไทยในอนาคต จะกระทบเป็นลูกโซ่.....
ฝากไปถึงรัฐบาลใหม่ปัญหาพวกนี้หน่วยงานรัฐรู้ดี เพียงแต่ต้องเปิดตามองให้เห็นเท่านั้น