*** สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญนับตั้งแต่สงครามระหว่าง “อิสราเอล” กับ “ฮามาส” (กองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์) เริ่มต้นมาเกือบปี หลังจากที่อิหร่านยิงขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยไกล หรือ ICBM : intercontinental ballistic missile มากกว่า 180 ลูก เข้าโจมตีอิสราเอล เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านให้การสนับสนุน รวมถึงการใช้กำลังโจมตีเลบานอน และ กาซา โดยทางการอิหร่านระบุว่า ขีปนาวุธที่ถูกยิงออกไปกว่าร้อยละ 90 สามารถโจมตีเป้าหมายในอิสราเอลได้สำเร็จ
แม้ภายหลัง นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล จะประกาศว่า ขีปนาวุธของอิหร่านถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลสกัดเอาไว้ได้แทบทั้งหมด พร้อมยังบอกว่า อิหร่านทำผิดพลาดครั้งใหญ่และจะต้องชดใช้ ขณะที่ทางสหรัฐอเมริกาก็ออกมาย้ำจุดยืนว่า สหรัฐฯ จะหนุนหลังอิสราเอลอย่างเต็มที่ และเมื่ออิสราเอลประกาศจะเอาคืน...สิ่งที่จะเกิดตามมาในช่วงเริ่มต้น ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกคงหนีไม่พ้นไปจาก ตลาดหุ้น และ การเงิน ขณะที่ประเทศไทยของเราเองก็คงจะหนีไม่พ้น ที่จะต้องได้รับผลกระทบตามไปด้วยอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ เจ๊เมาธ์เชื่อเช่นเดียวกับกูรูทั้งหลาย ที่มองว่า สงครามในตะวันออกกลางครั้งนี้ แตกต่างไปจาก “สงครามตัวแทน” (Proxy War) ซึ่งมีผู้เล่นนอกพื้นที่ให้การสนับสนุนทั้งออกหน้า และไม่ออกหน้า แบบที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้า เพราะจะเป็นการ “ชนกันตรงๆ” ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นคงหนีไม่พ้นไปจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ ที่ส่วนใหญ่อยู่ในตะวันออกกลาง และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยเฉพาะ “อิหร่าน” ซึ่งเป็นทั้งผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่รวมไปถึงมีอิทธิพลใน “ช่องแคบฮอร์มุซ” (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นทางผ่านเดียวที่ประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย ใช้เป็นทางออกสู่ตลาดโลก
ดังนั้นสงครามใหญ่รอบนี้ มาถึงตอนนี้ เจ๊เมาธ์มองว่า สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยอย่างเรา จะต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบเพื่อหา “หุ้นหลุมหลบภัย” หลีกเลี่ยงปัญหาให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าหากสามารถสร้างโอกาสเพื่อหาประโยชน์ได้ก็จะดียิ่งกว่า ว่าแต่ “หลุมหลบภัย” จะมีอะไรบ้าง????
กลุ่มแรก... เจ๊เมาธ์และนักวิเคราะห์ทั้งหลายมองว่า จะได้รับประโยชน์ในทางตรงมากที่สุด คือทาง PTTEP เนื่องจากสินค้าหลักของบริษัทนี้ คือ น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยที่การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบในทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะกระทบกับกำไรของบริษัทฯ ราว 1.8% ซึ่งนั่นก็จะทำให้หุ้นอย่าง PTTEP เป็นหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ทางตรงจากสถานการณ์สงครามมากที่สุด
กลุ่มที่สอง... เป็นหุ้นในกลุ่มของโรงกลั่นน้ำมัน เช่น TOP IRPC BCP และ SPRC ก็จะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น หรือทรงตัวในระดับสูง รวมไปถึงน้ำมันยังถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธปัจจัยอีกด้วย
กลุ่มที่สาม... เป็นหุ้นธนาคาร อย่าง KBANK SCB BBL KTB และ TTB เพราะไม่ว่าธุรกิจภาคธนาคารจะตกต่ำลงไปในมุมมองของนักลงทุนแค่ไหน แต่ก็อย่าได้ลืมไปว่าจะอย่างไรก็ตามธนาคาร ก็ยังเป็นแหล่งรวมของทุนและผู้ใช้ทุน ที่ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็ตามแหล่งทุนยังคงสำคัญ ดังนั้นเจ๊เมาธ์หุ้นของธนาคารยังคงเชื่อใจได้เสมอ
กลุ่มที่สี่... คือ กลุ่มสถานพยาบาล เช่น BDMS BH PR9 รวมไปถึงโรงพยาบาลอื่นๆ แม้ว่าอาจจะไม่ได้รับผลกระทบในเชิงบวก แต่ด้วยราคาหุ้นที่ลงมาต่ำมากแล้วก็ถือได้ว่าใช้เป็นหลุมหลบภัยได้
กลุ่มที่ห้า... คือ กลุ่มอาหาร ยา และค้าปลีกทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น CPF CPALL CPAXT BJC TU TFG หรืออื่นๆ อีกหลายตัวที่ไม่ได้พูดถึง เนื่องจากหากสงครามเกิด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะขาดแคลน
ท้ายที่สุด... คือ กลุ่มของสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากรัฐบาลรับประกันการคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ทองคำ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น เพราะเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ รวมไปถึงเงินฝากออมทรัพย์ แม้จะได้ดอกเบี้ยต่ำแต่ก็ช่วยรักษาเงินต้นได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงแนะนำว่า จังหวะนี้ถ้านั่งทับมือได้ก็ทำไปก่อน ส่วนถ้าใครที่มีหุ้นพื้นฐานดีอยู่ในมือก็ยังไม่ต้องรีบ ให้ถือซะว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน” เจ้าค่ะ
*** ในบรรดาหุ้น “ส่งเสริมการมีบุตร” ที่เพิ่งจะเข้าระดมทุนในตลาดฯ ไม่ว่าจะเป็น บมจ. เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ หรือ GFC บมจ. เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ หรือ SAFE รวมไปถึงหุ้นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันอย่าง บมจ. แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น หรือ BKGI
รวมไปถึงหุ้นน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดอย่าง บมจ.เมดีซ กรุ๊ป หรือ MEDEZE ในบรรดาหุ้นที่เข้าตลาดไปแล้ว 3 ตัวมีเพียง SAFE ที่เจอปัญหาราคาหุ้นต่ำจองตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาด ขณะที่ดูเหมือน MEDEZE ซึ่งกำลังจะขายหุ้นไอพีโอ อาจเป็นหุ้นน้องใหม่อีกตัวที่เจ๊เมาธ์มองว่า มีจะโอกาสต่ำจองตามรอย SAFE ว่าแต่ทำไมเจ๊เมาธ์ถึงได้มองว่า MEDEZE อาจเดินตามรอยราคาหุ้นต่ำจอง...
อย่างแรก ต้องมองไปที่จำนวนหุ้นที่ถูกนำออกมาขายก็พบว่า ในฝั่งของ GFC ขายหุ้นไอพีโอจำนวน 60 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท ที่ราคาจองซื้อ 7 บาท รวมเป็นเงินระดมทุนจำนวนราว 420 ล้านบาท
ส่วนทาง BKGI ขายหุ้นไอพีโอจำนวน 160 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1.00 บาท ที่ราคาจองซื้อ 1.63 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินระดมทุนจำนวนราว 260 ล้านบาท ต่อมาคือ SAFE ขายหุ้นไอพีโอจำนวน 76,748,600 หุ้น ราคาพาร์ 1.00 บาท ที่ราคาจองซื้อ 21 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินระดทุนจำนวนราว 1,611 ล้านบาท
ในขณะที่ทางฝั่งของ MEDEZE ขายหุ้นไอพีโอจำนวน 268 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท ที่ราคาจองซื้อ 9.00 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินระดมทุนจำนวนราว 2,412 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบราคาจองซื้อต่อราคาพาร์และจำนวนหุ้นถือได้ว่า MEDEZE เรียกระดมทุนมากที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม... ที่เจ๊เมาธ์ว่ามาก็เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลขคร่าวๆ ซึ่งในรายละเอียดอาจมีอีกหลายอย่างที่เป็นมากกว่าที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นของใคร มีอนาคตแบบไหน หรือว่ามีใครเป็นคนทำ เพราะถ้าหุ้นยังไม่เริ่มต้นในการเข้าซื้อขาย ก็คงจะฟันธงลงไปได้ว่าราคาหุ้นตัวนั้นจะต่ำจองหรือได้ไปต่อ เอาเป็นว่าอีกไม่นานก็จะได้รู้กันนะคะ ของแบบนี้ถ้าไม่เจอกับตัว ...ไม่เห็นกับตาก็คงไม่มีใครรู้และเข้าใจได้เจ้าค่ะ