นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาร์เอส กรุ๊ป เปิดเผยว่าหลังจากที่ปีนี้บริษัทได้ทำการรีแบรนด์ พร้อมกับปรับโลโก้ และโครงสร้างองค์กรเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งมีการย้ายอาคารสำนักงานใหม่มายังย่านถนนประเสริฐมนูกิจ บนพื้นที่ 16 ไร่ ที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยจะยังคงทำงานภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce ซึ่งเป็นการดึงศักยภาพ ความเชี่ยวชาญจากธุรกิจสื่อและธุรกิจบันเทิงในมือออกมาใช้ให้มากที่สุด เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ เพื่อเปลี่ยนผู้ชมและผู้ฟังเป็นผู้ซื้อ ควบคู่กับการซินเนอร์ยี่กับกลุ่มธุรกิจในเครือ ที่จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ อย่างครบวงจร ทั้งนี้ปัจจุบัน อาร์เอส กรุ๊ปแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจคอมเมิร์ซ ประกอบด้วย อาร์เอส มอลล์ และ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด และ 2. ธุรกิจสื่อและบันเทิง ประกอบด้วย สถานีโทรทัศน์ช่อง 8, คูลลิซึ่ม และ อาร์เอส มิวสิค
สำหรับแผนงานในส่วนของ ธุรกิจคอมเมิร์ซ ซึ่งประกอบด้วย อาร์เอส มอลล์ และ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด นั้น 1. อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) กลุ่มธุรกิจเรือธงใหม่ของอาร์เอส จากการนำเวลาโฆษณากว่าครึ่งของธุรกิจทีวีหรือช่อง 8 มาทำธุรกิจคอมเมิร์ซ ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 1.4 ล้านราย และในไตรมาส 2 มียอดขาย 586.2 ล้านบาท ขณะที่อาร์เอส มอลล์ ช่องทางออนไลน์ คาดว่าจะเติบโต 80% ในปีนี้ 2. ไลฟ์สตาร์ เป็นบริษัทผลิตสินค้าไลฟ์สไตล์ของอาร์เอส และในอาร์เอส มอลล์ ไลฟ์สตาร์ทำรายได้เป็นสัดส่วน 60% จาก 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ S.O.M. Cordy Tibet & Bhutan, S.O.M. I-Kare และ S.O.M. CMAX
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ครึ่งปีหลังเราพร้อมรุกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องสำอาง อย่าง BT Cosmetic ของไบเตย อาร์สยาม และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 40,000 ล้านบาท เติบโต 10% เน้นจับตลาดบนเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าเรามีแผนขยายให้ครบทุกช่องทางการจำหน่าย โดยในเบื้องต้นหากขายได้ 5-10% ของฐานลูกค้า 1.4 ล้านรายได้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”
ขณะที่ธุรกิจสื่อและบันเทิง คือ 1. สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ได้ปรับแผนใหม่ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เน้น 4 ขา คือ มีเดียสปอนเซอร์ 40% อีเวนต์ 10% ลิขสิทธิ์/ไลเซนส์ 20% และเอนเตอร์เทนเมิร์ซ 30% ซึ่งหลังจากนี้จะมีรายการใหม่ในรูปแบบเอนเตอร์เทนเมิร์ซ 1 รายการ คือ นายจ๋าทาสมาแล้ว ตอบโจทย์ธุรกิจอาหารสัตว์ และคอนเทนต์ต่างประเทศ คือ ราคาพารวย เริ่มออกอากาศช่วงไพรม์ไทม์ตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา
2.“คูลลิซึ่ม” จากนี้จะดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์แม่น้ำ 3 สาย คือ COOLfahrenheit กับการเข้าถึงผู้ฟัง กทม.และปริมณฑลกว่า 2 ล้านราย ,COOL Live โดยในปีหน้าเตรียมจัด 10 คอนเสิร์ต และมิวสิกเฟสติวัล ควบคู่กับการจัดคอนเสิร์ตจากต่งาประเทศ เพื่อเข้าถึงผู้คนกว่า 1 แสนราย และ COOL anything กับแอปพลิเคชันและต่อยอดคอมเมิร์ซจากผู้ฟังสู่การเป็นผู้ซื้อ
ขณะที่ 3."อาร์เอส มิวสิค” ปีนี้จะใช้กลยุทธ์ มิวสิกสตาร์คอมเมิร์ซ ด้วยการนำ 3 ค่ายเพลงมาปัดฝุ่นทำใหม่ ได้แก่ RSiam, Kamikaze และ Rose Sound ซึ่งเตรียมที่จะเปิดตัวศิลปินนักร้องใหม่ในเดือน ต.ค.นี้
“ในส่วนของธุรกิจค่ายเพลงที่เคยเป็นคอร์ธุรกิจหลักสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 95% ในอดีต ก่อนที่จะค่อยๆเลื่อนหายไปตามกาลเวลา มาวันนี้อาร์เอสต้องทรานฟอร์มและต่อยอดรายได้ พร้อมกับมองหาธุรกิจใหม่ในการสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทในยุคที่ดิจิตอลเข้ามาดิสรัปธุรกิจมากมาย”
อย่างไรก็ตามแผนงานทั้งหมดถูกดำเนินงานภายใต้แนวคิดการทำงานที่ต้อง ปรับตัวให้รวดเร็ว เพื่อทันต่อทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เรียกว่าเป็นยุคของ “ปลาฉลาด” ที่กินทุกปลา ไม่ใช่ในยุคอดีตที่ “ปลาใหญ่ ต้องกินปลาเล็ก” เพื่อทะยานเป้ารายได้สู่ 1 หมื่นล้านบาทในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้จะมีรายได้ 4,800-4,900 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเป้าหมายรายได้ใหม่หลังจากการระบาดของโควิด 19 จากเดิมที่ปีนี้คาดว่าจะทำได้ 5,000 ล้านบาท โดยกว่า 65% มาจากธุรกิจคอมเมิร์ซ ทีวี 20-25% วิทยุ 10% และเพลง 5%