นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าว อาทิ ขนมปังกรอบ และบิสกิต ถือเป็นสินค้าเกษตรแปรรูปสำคัญของไทยที่น่าจับตามอง เนื่องจากนำข้าวมาพัฒนาต่อยอดและสอดแทรกนวัตกรรม จึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ ทำให้ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าวเป็นอันดับ 1ของโลก ตามด้วยเยอรมนี และสวีเดน
ขณะที่ปี 2562 ไทยส่งออกขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าวกว่า 4.2 หมื่นตัน มูลค่า 129 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มขยายการส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้าที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติมากขึ้น
สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-เมษายน) ไทยส่งออกสินค้าขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าวกว่า 1.3 หมื่นตัน มูลค่า 41 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9 % จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ส่วนตลาดส่งออกสำคัญ คือประเทศที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะอาเซียนมีมูลค่าส่งออกถึง 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8 %
ตลาดฟิลิปปินส์ และสปป.ลาว เป็นตลาดส่งออกหลัก รองลงมาออสเตรเลีย มูลค่าส่งออก 4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 24 % ญี่ปุ่น มูลค่าส่งออก 3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 29 % และนิวซีแลนด์ มูลค่าส่งออก 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 103 %
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) แต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ ทำให้การส่งออกขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าวไปยังประเทศคู่เอฟทีเอ ในปี 2562 เติบโตอย่างน่าพอใจ เช่น อาเซียน ขยายตัวถึง 2,727 % จีน ขยายตัวร 1,633 % ออสเตรเลีย ขยายตัว124 % นิวซีแลนด์ ขยายตัว 332 % และเกาหลีใต้ ขยายตัว 80 % เป็นต้น
โดยเอฟทีเอส่งผลให้สินค้าขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าวของไทยมีแต้มต่อด้านราคา เพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 17 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ฮ่องกง ชิลี และเปรู ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว เหลือเพียงญี่ปุ่น ที่คงภาษีนำเข้า 0.6 % และจะลดเหลือ 0 ในเดือนพฤษภาคม 2565
“ขนมขบเคี้ยวจากแป้งข้าวของไทยเป็นที่ยอมรับจากตลาดต่างประเทศ ทั้งในด้านคุณภาพและรสชาติ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับคุณภาพมาตรฐานด้านสุขอนามัยมากขึ้น รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายทั้งรสชาติและบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม แข็งแรง และพกพาสะดวก รวมทั้งติดตามแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค อาทิ คุณค่าทางโภชนาการ ลดปริมาณไขมัน โซเดียม และน้ำตาล และควรใช้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยโดดเด่นเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และครองใจผู้บริโภคในระยะยาว” นางอรมน กล่าว