การกลับมาระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกที่สาม ส่งผลกระทบต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งในภาคการผลิต และภาคบริการที่กำลังจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากผลกระทบในสองรอบแรก ให้ทรุดลงไปอีก ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องเร่งปรับแผนงานหรือปรับกลยุทธ์เพื่อประคองธุรกิจ
นายคมศานต์ จิวากานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลักษณ์ โฮเทลซัพพลาย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายหมอนโรงแรม 6 ดาว แบรนด์ “Luxury” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (Covid-19) ระลอกสามได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแล้วถึง 95% เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้มีการไปลงทุนเพิ่มเติมทั้งการเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งมีการเซ็นสัญญาล่วงหน้าเป็นรายปี รายเดือน ราย 3-6 เดือน เพราะเห็นว่าโควิด-19 ระลอกสองเริ่มคลี่คลาย ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในการทำตลาดเข้าหาผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนซื้อวัตถุดิบมาเพิ่มเติม รวมถึงการรับพนักงานกลับเข้ามาทำงานตามเดิม มีการวางแผนการตลาดใหม่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้น แต่เมื่อโควิด-19 ระลอกสามระบาด โดยที่ห้างสรรพสินค้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์ไม่ได้ถูกปิด แต่ไม่มีผู้บริโภคมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งเท่ากับว่าบริษัทมีการลงทุนไปแล้วแบบเปล่าประโยชน์ ถือเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นหากเปรียบไปแล้วก็เสมือนหลุมพราง เมื่อผู้ประกอบการมองเห็นโอกาสอยู่ข้างหน้า จึงรีบตัดสินใจลงทุน แต่ก็ต้องมาพบการแพร่ระบาดระลอกสามที่ทำให้ต้องตกหลุมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลานี้ผู้ประกอบการต้องรู้ตัวเองแล้วว่า หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้จะทนอยู่ได้อีกเท่าไหร่ สำหรับบริษัทมองว่าคงมีสภาพคล่องอยู่ได้อีกถึงสิ้นปี 2565 จากการคำนวณทรัพย์สินที่สามารถแปลงเป็นเงินทุนได้ กับภาระหนี้สินที่ต้องชำระ”
อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยลงทุนว่าจ้างทีมงานทางด้านการตลาดออนไลน์แบบมืออาชีพที่มีผลงานพิสูจน์ได้จริงมาร่วมงาน มาช่วยพัฒนา และออกแบบการจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์ให้กับบริษัท มองว่าน่าจะช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นในยุคปัจจุบัน
“การดำเนินการดังกล่าวเหมือนเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้าย หากตลาดออนไลน์เป็นไปอย่างที่คิด จะประสบความสำเร็จได้มากกว่าการขายแบบออฟไลน์ เพราะแบรนด์เราค่อนข้างแข็งแรง และเป็นที่รู้จักของผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายด้วยตนเอง โดยจะเป็นรูปแบบการให้บริการ Shop From Home ซึ่งเมื่อลูกค้าสั่งหมอน 1 ใบ บริษัทจะส่งไปให้ทดลองใช้งาน 3 ใบ เพื่อให้ลูกค้าเลือกหมอนใบที่ถูกใจที่สุดเป็นเวลา 14 วัน หลังจากนั้นบริษัทจะไปรับหมอนที่ไม่ถูกเลือกกลับมาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเชื่อว่าด้วยรูปแบบดังกล่าวจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทกระจายไปได้ทั่วประเทศ”
ด้านนางสาวฐาณิญา เจนธุระกิจ กรรมการบริหาร บริษัท ฑี ฐาณิญา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องหอมภายใต้แบรนด์ “Thaniya” กล่าวว่า ธุรกิจของตนได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากโควิด-19 ระลอกสาม เพราะมาตรการที่ออกมาไม่ได้ปิดห้างสรรพสินค้า ทำให้บริษัทยังมีต้นทุนเรื่องของค่าเช่า และค่าจ้างพนักงาน ซึ่งเสมือนเป็นการจ่ายที่ศูนย์เปล่า เพราะไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในห้างฯ ขณะที่โรงงานผลิตก็มีการทำงานตามปกติ เนื่องจากไม่ได้มีคำสั่งให้ปิด เพียงแค่ขอความร่วมมือเท่านั้น
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะรายได้ของบริษัทมาจากการจำหน่ายผ่านหน้าร้าน จะเน้นเป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ และการส่งออก เรียกได้ว่ามีแต่รายจ่ายแต่ไม่มีรายรับ หากเปรียบเทียบยอดรายได้ที่หายไปเกิน 50% จากเดิมในช่วงที่ขายดีมากจะมียอดอยู่ที่ประมาณ 6 แสนบาทต่อเดือนต่อสาขา ขณะที่รายได้ในเดือนที่ผ่านมามีไม่ถึง 20,000 บาทต่อสาขาเท่านั้น เรียกว่าบางวันขายไม่ได้เลยเป็นสัปดาห์
“โควิด-19 รอบแรกรัฐบาลมีคำสั่งปิดห้างฯ ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็ประหยัดต้นทุนเรื่องของค่าเช่า แต่กับโควิดระลอกนี้ รัฐบาลไม่ได้สั่งปิดทำให้รายจ่ายยังคงมีอยู่ สวนทางกับรายรับที่ไม่มีเข้ามา ทำให้ถูกกระทบค่อนข้างหนัก และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ซึ่งดูแล้วแทบไม่มีความหวังเลย”
สำหรับแผนรับมือนั้น ในส่วนของผลิตภัณฑ์เพื่อส่งออก บริษัทมีการนำเสนอสินค้าใหม่ให้กับลูกค้า ขณะที่ในประเทศก็มีการปรับลดเรื่องของราคาให้ลูกค้าในประเทศเข้าถึงได้มากขึ้น จากเดิมที่จะเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการต่อยอดธุรกิจไปสู่การเปิดแบรนด์ MN Formula ในเดือนที่ผ่านมา เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศ ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี และบริษัทยังมีการปรับกลยุทธ์มุ่งเข้าหาลูกค้าองค์กรมากขึ้น ด้วยการออกแบบกลิ่นให้กับคลินิกเสริมความงาม ร้านอาหาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 8 ฉบับที่ 3,677 วันที่ 9 - 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564