เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 64 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนดศบค. ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "มาตรการรองรับการเปิดประเทศ" มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ค. นี้ หรือ การเปิดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ
โดยข้อกำหนดดังกล่าวชื่อว่า “ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงนามโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป
มีเนื้อหาโดยสรุปว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความจําเป็นในการเปิดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวเพื่อรองรับ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการในภาค ธุรกิจท่องเที่ยวและภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง
ในการนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการกําหนด มาตรการรองรับและบูรณาการประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปฏิบัติ ตามมาตรการต่าง ๆ ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ และให้การขับเคลื่อน ทางเศรษฐกิจและสังคมสามารถดําเนินการควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย
มาตรการป้องกันโรคสําหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร การกําหนดพื้นที่ จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ หลักเกณฑ์ และมาตรการป้องกันโรค สําหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
แต่ส่วนที่สำคัญของข้อกำหนดฉบับนี้ระบุอยู่ท้ายคำสั่ง ที่มีความยาว 3 หน้า ซึ่งเป็น "มาตรการป้องกันโรคสําหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร" มีรายละเอียดดังนี้
1. การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ทั้งนี้ ผู้เดินทางต้องอยู่ในประเทศดังกล่าวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วัน ก่อนออกเดินทาง เว้นแต่ผู้ที่พํานักอยู่ในราชอาณาจักรซึ่งได้เดินทางออกจากราชอาณาจักรและได้เดินทางไปยังประเทศ/พื้นที่ที่ได้รับอนุมัติข้างต้น โดยให้มีเอกสารที่ใช้ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ดังนี้
ทั้งนี้ สําหรับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีนและเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ให้มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด - 19 (Medical Certificate with a laboratory result indicating that COVID - 19 is not detected) โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง
3. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศของประเทศ/พื้นที่ต้นทาง ก่อนออกเดินทาง (Exit seening)
มาตรการเมื่อเดินทางถึงระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร
1. มาตรการตรวจคัดกรองอาการและการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
1.1 กรณีเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงมายัง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
1.2 กรณีเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยสายการบินที่ไม่มีเที่ยวบินตรง และต้องเดินทางโดยทางอากาศต่อไปยังท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว ให้ผู้เดินทางดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ก. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และให้ยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศจุดแรกที่มีการเดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักร ก่อนเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานจุดหมายปลายทางที่เป็นพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว
ข. ให้คัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ และให้ยื่นเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดําเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศหรือในพื้นที่ของท่าอากาศยานจุดหมายปลายทางที่เป็นพื้นที่จังหวัดนําร่อง การติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นถึงจํานวน ด้านการท่องเที่ยว
2.ให้ใช้ระบบติดตามหรือติดตั้งแอปพลิเคชันตามที่ทางราชการกําหนด โดยให้เปิดระบบติดตามดังกล่าวไว้ตลอดเวลา เพื่อเฝ้าระวังหรือติดตามอาการระหว่างที่ผู้เดินทางพํานักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว
3. ให้เดินทางออกจากท่าอากาศยานไปยังโรงแรมหรือสถานที่พักโดยยานพาหนะที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ โดยต้องไม่มีการแวะหรือหยุดพักณ สถานที่ใด ๆ ก่อนถึงโรงแรมหรือสถานที่พัก
4. ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิต - 19 โดยวิธี RT-PCR ณ สถานที่ที่ทางราชการกําหนด โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
4.1 ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิต - 19 โดยวิธี RT-PCR จํานวน ๓ ครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงราชอาณาจักร โดยห้ามเดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พักจนกว่าจะมีผลการตรวจยืนยันว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด - 19
4.2 ให้มีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR เพิ่มเติมจากข้อ 4.1
ก. กรณีพํานักอยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 7 น ให้มีการตรวจหาเชื้อ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 ของระยะเวลาที่พํานักหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด
ข. กรณีพํานักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นระยะเวลา 10-14 วัน ให้มีการตรวจหาเชื้อ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 และครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 12-13 ของระยะเวลาที่พํานักหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด
ทั้งนี้ ในกรณีพบว่าผู้เดินทางมีการติดเชื้อโรคโควิด - 19 ให้โรงแรมหรือสถานที่พักดําเนินการประสานส่งตัวผู้เดินทางไปยังสถานพยาบาลคู่สัญญาตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกําหนดโดยเร่งด่วนเพื่อทําการตรวจหรือรักษาต่อไป โดยผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด หรือเป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายระหว่างโรงแรมหรือสถานที่พักกับผู้เดินทาง
5. กรณีผู้เดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พักหลังจากทราบผลการตรวจยืนยันแล้วว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด - 19 ให้ผู้เดินทางรายงานตัวเมื่อกลับมายังโรงแรมหรือสถานที่พักทุกวันตามคําสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือตามที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกําหนด โดยห้ามไปพํานัก ค้างคืนในสถานที่อื่นนอกเหนือจากโรงแรมหรือสถานที่พักที่ได้กําหนดไว้ และให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ราชการกําหนดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่พํานักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยว
6. กรณีผู้เดินทางพํานักอยู่ในจังหวัดนรองด้านการท่องเที่ยวเป็นเวลาน้อยกว่า 14 วัน ห้ามผู้เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวเด็ดขาด และเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรทันที
7. กรณีผู้เดินทางพนักอยู่ในจังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ให้สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวไต้ เมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว
มาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร
หรือเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนําร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร
ที่มา ราชกิจจานุเบกษา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :