ปากท้องมาก่อน ปูตินตัดใจ คลายล็อกดาวน์

ถึงตอนนี้ทุกฝ่ายคงจะล้าไม่น้อย เนื่องจากผ่านมาแล้วเป็นเวลาร่วม 2 เดือนนับแต่ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โควิด-19 เป็น Pandemic หรือ การระบาดใหญ่ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลกจนหลายประเทศตัดสินใจปิดประเทศล็อกดาวน์ไปตามๆ กัน แต่เจ้าเชื้อไวรัสโคโรนาก็ดูไม่จบไม่สิ้นสักที แถมยังกลายพันธุ์ดิ้นหนีไปเรื่อยๆ

รัสเซียเองก็ปิดเมืองขอร้องให้คนอยู่บ้านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ล่าสุดรองนายกรัฐมนตรีอันเดร เบลูซอฟออกมายอมรับกับประชาชนแล้วว่า ถ้าให้เทียบกันแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำลงขณะนี้เริ่มน่าเป็นห่วงกว่าเรื่องไวรัสเสียแล้ว ปริมาณเงินที่บริษัทเล็กบริษัทน้อยต้องเป็นหนี้ลูกจ้างตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งสั่งให้หยุดงานแต่ยังได้เงินเดือนเต็ม คำนวณแล้วเป็นหนี้ก้อนใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้

ไม่ต่างกันกับไทยและหลายประเทศที่อัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีชาวรัสเซียมาลงทะเบียนคนว่างงานมากกว่า 735,000 คน รวมแล้วมียอดสะสมคนลงทะเบียนว่างงานในแดนหมีขาวกว่า 1.2 ล้านคน และคาดว่าพิษโควิดจะทำให้คนรัสเซียตกงานมากถึง 5-6 ล้านคน หรือคิดเป็น 7-8% ของตลาดแรงงาน สาหัสที่สุดในรอบกว่าสิบปี

 ถึงตอนนี้แล้ว ปากท้องอาจจะต้องมาก่อน ในที่สุดประธานาธิบดีปูตินก็ต้องยอมแพ้เพราะดูท่าแล้ว ยังไงก็คงไม่สามารถกำจัดให้ไวรัสหายไปจากประเทศได้ในเร็ววัน จึงสั่งปลดล็อกมาตรการควบคุมไวรัสเริ่มหลังเทศกาลวันหยุดยาวประจำปีในวันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคมนี้ แม้ว่าตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงมาอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก และจำนวนที่ตรวจพบเพิ่มวันละมากกว่าหมื่นรายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

แน่นอนว่าการปลดล็อกมาตรการควบคุมจะไม่ได้ยกเลิกทั้งหมดในคราวเดียว แต่เริ่มจากการปลดล็อกให้กับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมก่อน โดยจะให้สิทธิ์ผู้บริหารแต่ละท้องถิ่นเป็นคนตัดสินใจวางแผนงานกันเองว่าจะรับมือยังไง พร้อมขีดเส้นใต้หนักๆ ให้ทุกฝ่ายคอยระวังไม่ให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ซัดเข้ามาซ้ำสถานการณ์

เมืองที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่มากคงได้ออกไปทำมาหากินกันตามปกติกันแล้ว แต่สำหรับในเมืองหลวงอย่างกรุงมอสโกคงยังไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เนื่องจากตอนนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดในยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยยอดที่ใกล้หลักแสนเข้าไปทุกที มากกว่าครึ่งของยอดผู้ติดเชื้อรวมทั้งประเทศ ซ้ำยังมีรายงานจากการสุ่มศึกษาด้วยว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงๆ อาจสูงถึง 3 แสนราย มากกว่าตัวเลขที่ทางการยืนยันถึง 3 เท่า หรือ 2-2.5% ของชาวเมืองมอสโก

นายกเทศมนตรีกรุงมอสโกประกาศย้ำแล้วย้ำอีกว่าตัวเลขที่เยอะขึ้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด กลับเป็นประโยชน์มากต่อการควบคุมสถานการณ์เสียด้วยซ้ำไป ยังไงคงยังไม่ผ่อนผันมาตรการควบคุมจนกว่าจะคุมไวรัสโคโรนาได้อยู่หมัด ประกาศขยายเวลาสั่งให้คนอยู่กับบ้านต่อไปถึงวันที่ 31 พ.ค. โดยเขาเขียนลงในเวบไซต์ส่วนตัวว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกลับมาเปิดร้านอาหาร โรงละคร และสนามกีฬาซึ่งเป็นสถานที่ที่คนจำนวนมากมักไปรวมตัวกัน ยังอนุญาตให้ผู้คนออกจากในบ้านได้แค่ไปทำงานและไปหาหมอตามนัด ทั้งยังจะออกมาตรการใหม่เสริมกับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม บังคับให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยและถุงมือเมื่อขึ้นรถสาธารณะ

การผ่อนผันของรัฐบาลรัสเซียจะปลดล็อกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมของผู้คน แต่ยังห้ามไม่ให้ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดออกไปไหน

แม้ว่าสัปดาห์นี้ตัวเลขจะทะยานขึ้นมาอยู่อันดับที่ 5 ของโลก แต่นายปูตินก็เอ่ยปากชมคนทำงานว่ามาถูกทาง และนโยบายของรัฐบาลนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ ตัวเลขที่ดูเหมือนจะเยอะ แต่ความเป็นจริงต่างประเทศก็ต่างเกณฑ์การนับยอดผู้ป่วยกันไป เมื่อเทียบกับอีก 4 ประเทศที่ติดท้อป 5 เหมือนกัน อัตราการตรวจเชื้อของรัสเซียสูงเป็นอันดับสองของโลก และจำนวนผู้เสียชีวิตยังควบคุมได้อยู่ในหลักพันต้นๆ ขณะที่ประเทศอื่นมีผู้เสียชีวิตสะสมหลายหมื่นคน จึงยังมั่นใจว่ายังรับมือไหวอยู่

ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีของแดนหมีขาวติดเชื้อโควิด ล่าสุดอาการดีขึ้นแล้ว นายปูตินยืนยันด้วยตัวเองว่านายกฯ ของเขายังคงทำงาน วางแผนนโยบายพูดคุยกันอยู่ทุกวัน แม้ว่ายังมีไข้อยู่นิดๆ แต่เดี๋ยวก็หายแน่นอน นับว่าท่ามกลางตัวเลขผู้ติดเชื้อที่น่ากลัวในรัสเซีย ยังมีข่าวดีเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้คนได้สบายใจหายใจหายคอกันบ้าง

** พบกับ คอลัมน์ “หลังกล้องไซบีเรีย” ทุกวันอาทิตย์ ทุกช่องทางออนไลน์ของ “ฐานเศรษฐกิจ" **

Bio นักเขียน : “ยลรดี ธุววงศ์” อดีตนักข่าวที่ผ่านสนามข่าวทั้งในและต่างประเทศ จากสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ และ Spring News ปัจจุบันเป็นนิสิตปริญญาโทอยู่ในส่วนที่หนาวเย็นที่สุดของประเทศรัสเซีย